หน้าเว็บ

02 กุมภาพันธ์ 2552

050 | เงินกับอนาคต

... วันนี้นอนไม่หลับครับ สงสัยนอนมาทั้งวันแล้ว
มานั่งคิดๆ ถึงอดีต และอนาคต จนถึงวันนี้ ผมจบปริญญาตรี แล้วก็ทำงานมาได้ 4 ปีแล้ว
แต่ยังรู้สึกว่าตัวเองยังไปไม่ถึงไหนเลย เหมือนกับว่าที่ผ่านๆ มา กินๆ เที่ยวๆ เล่นๆ ไปเรื่อยๆ มานานเหมือนกัน แถมยังไม่เคยคิดถึงอนาคตอีกด้วย

อันที่จริงแล้ว เมื่อก่อนผมเคยมีความคิดว่า เงินทองจะมีมากน้อยมันไม่สำคัญ เท่ากับการที่เราได้ใช้ชีวิตให้คุ้มค่ากับเวลาที่มีอยู่

ผมทำงานครั้งแรกในชีวิต ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่พัฒนาระบบงาน หรือจริงๆ ก็คือโปรแกรมเมอร์ รับเงินเดือน 8,000 บาทถ้วน
ช่วงแรกๆ เงินเหลือใช้ครับ ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร เลยซื้อของเล่นสะสมซะเยอะ (พวก Figure ตัวละ 1,000-2,000) แล้วก็สะสม DVD หนัง แบบว่าซื้อทุกวัน วันละแผ่นสองแผ่น ขนาดนั้น

ทำงานไปไำด้เกือบปี ก็เปลี่ยนงานมาเป็นอาจารย์ รับเงินเดือนน้อยลงมาหน่อย ประมาณ 7,000 กว่าบาทตามวุฒิ
ก็ยังถือได้ว่าสบาย ไม่เคยต้องลำบากเรื่องเงิน แถมช่วงแรกๆ ผมสอนภาคบ่าย, ภาคเสาร์อาทิตย์ ได้ค่าสอนเพิ่มอีก บางทีก็ไปเป็นวิทยากรตามโรงเรียน ได้ค่าวิทยากรอีกไม่น้อย รวมๆ แล้วมีรายรับเฉลี่ยเดือนละเป็นหมื่น อยู่ได้สบายครับ
(จำได้ว่าช่วงนั้นยังเคยบ่นถึงพวกเพื่อนๆ ที่ไปทำงานกรุงเทพฯ ว่าเงินจะไปพอใช้ได้ยังไง อยู่บ้านเรานี่แหละสบายสุดแร้ว)
จนเป็นอาจารย์มาได้ 1 เทอม ผมก็ต้องไปเรียนต่อปริญญาโท ซึ่งผมเลือกเรียนภาคพิเศษ (เรียนเสาร์-อาทิตย์) เพราะไม่อยากเสียงานที่ทำอยู่ และก็ไม่อยากออกมาเรียนเฉยๆ อย่างเดียวเพราะเกรงจะเป็นภาระทางบ้าน
คราวนี้แหละครับที่ภาวะเงินฝืดเริ่มก่อตัว เพราะว่าผมไม่ได้สอนภาคเสาร์-อาทิตย์อีก รายได้ก็เลยหายไปส่วนหนึ่ง (แต่บางเทอมยังได้สอนภาคพิเศษที่ต้องขับรถไปสอนตามอำเภอต่างๆ เอง ซึ่งรายได้จุดนี้ผมไม่เคยนับเพราะถือว่าไปสอนเพราะอุดมการณ์ 5555+) แถมภาคบ่ายก็ไม่มีนักศึกษาให้สอนอีก รายรับก็เลยเหลือแต่เงินเดือนเพียวๆ
ไอ้การไปเรียนโทที่มหาวิทยาลัยที่อยู่คนละจังหวัดนี่เสียค่าใช้จ่ายไม่น้อยเลยนะครับ ไปๆ มาๆ เงินเดือนผมกลับไม่พอใช้ ต้องพึ่งพาเงินทางบ้านช่วยเหลืออยู่เป็นระยะๆ ซึ่งก็พอฝืนๆ ให้ผ่านไปในแต่ละเดือนได้บ้าง

เป็นอาจารย์มาได้ 2-3 ปี เงินเดือนผมก็ขึ้นมาเรื่อยๆ ตามผลงาน (ซึ่งก็เข้าใจครับว่าผลงานผมไม่ค่อยน่าชื่นชมเท่าไร) ล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 8,800 บาท แต่รายจ่ายกลับมากขึ้นครับ
จริงๆ มันก็เป็นเพราะตัวเองนั่นแหละ เพราะว่าช่วงปีที่แล้วผมติดเที่ยวมาก ใช้เงินยังกับเศษกระดาษ แต่ละเดือนต้องมีปาร์ตี้เมาเละกับเพื่อนๆ น้องๆ ไม่น้อยกว่า 4-5 ครั้ง บางคืนหมดไป 2-3 พันก็มี (คนเมามักจะขาดวิจารณญาณในการใช้เงิน) เพิ่งจะมาเบานิสัยเสียนี้ได้ก็ช่วงปลายปีที่ผ่านมานี้เอง แต่ก็เท่านั้นแหละครับ ข้าวของมันแพง ค่าครองชีพสูงขึ้น ยังไงเงินก็ไม่พอใช้อยู่ดี ... แปลกดีนะครับ เงินเดือนยิ่งขึ้นยิ่งไม่พอใช้ 55555+

เดือนนี้รัฐบาลช่วยค่าครองชีพให้กับลูกจ้างรัฐเดือนละ 1,500 บาท ผมก็ได้กับเขาด้วย (แต่ได้ถึงแค่เดือนมิถุนายน) ดังนั้นเดือน ม.ค.นี้ เงินเดือนผมเลยแตะไปที่ 10,000 นิดๆ เป็นครั้งแรกในชีวิตนับแต่ทำงานมา

ไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกนี้ยังไงดี บางคนในวิชาชีพเดียวกันที่ทำงานเงินเดือน 10k-30k มาอ่านคงจะขำกลิ้งกับความเห่อเพดานเงินเดือนอันน้อยนิดของผม แต่สำหรับผมแล้วมันคือความภูมิใจครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันเป็นเงินที่ได้มาจากการประกอบอาชีพครู ซึ่งผมภูมิใจกับมันอย่างมากถึงมากสุดๆ นับตั้งแต่วันแรกที่ทำงาน จนถึงวันนี้

เคยมีเพื่อนๆ น้องๆ และญาติๆ หลายคนถามผมว่า ทำไมไม่ไปทำงานกรุงเทพฯ รับเงินเดือนที่มันสูงกว่านี้
ผมเชื่อว่าผมทำได้ครับ ไม่ใช่คิดว่าตัวเองเก่ง แต่ก็มั่นใจว่าวิชาชีพที่เรียนๆ มาก็ไม่ถึงกับทำอะไรไม่เป็นเลย
แต่มีเหตุผลที่ไม่อยากไปครับ
เมื่อก่อนผมจะบอกว่า ผมไม่อยากไปทำงานที่อื่น เพราะอยากอยู่บ้าน (ผมเป็นลูกคนเดียว)
แต่ถ้าเป็นตอนนี้ ผมมีอีกเหตุผลหนึ่ง ก็คือ ผมรักที่จะเป็นครู และไม่อยากจะไปทำอาชีพอื่นแล้วถ้าเป็นไปได้
ตั้งแต่นั้นมาผมเลยยืนยันคำเดียวครับว่า ไม่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องเงิน มันเป็นประเด็นรองครับ
แต่ประเด็นหลักคือ ผมจะทำงานในอาชีพนี้ต่อไป จนกว่าจะโดนไล่ออกสักวันนั่นแหละครับ (ซึ่งก็คงเป็นไปได้ไม่ยากเหมือนกัน เหอๆๆๆ)

สรุปแล้ว เรื่องเงิน ณ วันนี้ เป็นเรื่องที่ผมต้องเอาใจใส่กับมันเพิ่มขึ้นอีกนิดแล้วครับ แต่มันจะไม่ใช่เรื่องที่จะมาทำให้อนาคตของผมไปต่อไม่ได้แน่นอน .. ผมพยายามบอกกับตัวเองไว้อะนะครับ

เขียนเพ้อมาเยอะแล้วรู้สึกว่าต้องนอนเสียที พรุ่งนี้ต้องไปสอนอีก ขอตัวไปนอนก่อนดีกว่าครับ.

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณมากครับ สำหรับข้อมูล