หน้าเว็บ

29 พฤษภาคม 2556

177 | อินเตอร์เน็ตรำลึก

(ครึ่งแรกนี่รวบรวมมาจากทวีตที่พ่นไว้เมื่อสักพัก)

Begin...

ไปเจอเมลฉบับที่เก่าที่สุดที่ได้รับ (เท่าที่ยังมีอยู่) คือ Welcome จาก Yahoo! Mail ส่งมาเมื่อ

Tuesday, January 15, 2002 10:52 PM


My First E-Mail Address

ส่วนเมลแรกในชีวิตคือ hotmail สมัครไว้ในชื่อ king_krimson@hotmail.com เมื่อประมาณปี พ.ศ.2541 (15 ปีที่แล้ว) ตอนนี้คงโดนลบ Account ไปแล้วมั้ง Search ด้วย Google ไม่เจอแล้ว เหอๆๆ

อดีตเมลนี้เคยเอาไว้ใช้ในเว็บไซต์ของคณะศิวาลัย รร.นครสวรรค์ เว็บแรกในประวัติศาสตร์ (go.to/siwalai) ซึ่งข้าพเจ้าเป็นเว็บมาสเตอร์เอง

(สมัยนั้น go.to ฮิตมากเลยแหละ)

My Web

เว็บของคณะศิวาลัย รร.นครสวรรค์ เว็บแรกสุดสร้างขึ้นโดยใช้ FrontPage Express และฝากไว้ที่ geocities.com แน่นอนว่าเป็น Static Web จ้า

เหตุที่ทำขึ้นมาก็เนื่องจากอิจฉารุ่นพี่ที่ทำเว็บนักเรียน รร.นครสวรรค์ เว็บแรก (http://ns.th.edu) ซึ่งดังมากๆ ในจังหวัดนครสวรรค์ แต่ ns.th.edu เขาทำเป็นเว็บบอร์ดฝากโฮสต์แบบเป็นเรื่องเป็นราว เราทำแบบนั้นไม่เป็นก็เลยทำออกมาได้แต่เว็บกากๆ 5555

สมัยนั้นไม่มีกด Like จะดูว่าคนเข้ามากน้อยแค่ไหนก็ต้องดูที่ Counter ซึ่งก็ไปหาจากเว็บที่ให้บริการ Counter ฟรีมาแปะไว้อีก

ทำได้ไม่นานก็เลิก เพราะไม่รู้จะทำไปทำไม 555555+

My Future

และด้วยความง่ายดายของ FrontPage Express ทำให้ข้าพเจ้าหลงผิดคิดไปว่าการทำเว็บไซต์มันเป็นเรื่องง่ายๆ ก็เลยมาเลือกเรียนวิทยาการคอมพิวเตอร์

ซึ่งก็ส่งผลกระทบยาวนานให้ข้าพเจ้าต้องมานั่งรับกรรมอยู่หน้าคอมจนถึงทุกวันนี้ (ฮาาาาา)

--------------------------------------------------------------

(ครึ่งหลังนี่เขียนไว้ที่นี่เพราะขี้เกียจทวีตและ)

Web Developer

สมัยนั้นมีหนังสือสอนเขียนเว็บที่ง่ายที่สุด (ที่ไม่ใช่เขียน HTML ทีละบรรทัด) อยู่เล่มนึง ก็คือ สร้างโฮมเพจฟรี! ที่ GeoCities (และที่อื่นๆ) ของ สนพ.โปรวิชั่น ซึ่งอ่าน+ลอกตามง่ายมาก ถือว่าเป็นหนังสือคอมพิวเตอร์เล่มแรกในชีวิตของผมที่ได้เปิดอ่านและใช้แบบจริงๆ จังๆ (ไม่นับแบบเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ในโรงเรียนและที่ ECC, BCC เพราะตอนที่เรียนไม่ได้ใส่ใจเลยซักกะติ้ด)


(ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.welovebook.com)

Floppy Disk

ไฟล์สมัยนั้นเล็กมาก ผมกับเพื่อน (ไอ้แต๋ว) ก็จะซื้อ Floppy Disk ไว้คนละแผ่น (แผ่นละ 20 บาท) เอาไว้ Save File ถ้าตอนอยู่ที่โรงเรียนเราจะไปนั่งทำที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของเจ้าหน้าที่ห้องสมุด (อภิสิทธิ์ชน 5555) ถ้าวันหยุดก็จะไปนั่งทำตามร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ชั่วโมงละ 20-30 บาท และด้วยความที่ใช้เป็นแต่ FrontPage Express ซึ่งมันจะติดมากับ Windows 98 ถ้าร้านไหนเปิดดูแล้วไม่มีลงไว้ (ไม่รู้ไปลง Windows ยังไง) เราก็ไม่เล่นร้านนั้น ตอนหลังฉลาดขึ้นมานิดนึงเลยหาวิธี Copy โปรแกรมใส่ Floppy Disk ไว้เลย ไปที่ไหนก็มีใช้ละคราวนี้


(ขอบคุณภาพประกอบจาก Wikipedia)

E-Mail

E-Mail สมัยนั้นยังเป็นของใหม่ ร้านค้าหรือสินค้าไหนที่ผู้ผลิต/ เจ้าของมี E-Mail Address แปะไว้จะดูเท่และทันสมัยมาก (ประมาณร้านค้ายุคนี้ที่ต้องมี LINE ID แปะไว้หน้าร้าน) แล้วก็เป็นสิ่งที่หลายๆ คนไม่รู้คือมันสมัครฟรี ใช้ฟรี และไปใช้ที่คอมพิวเตอร์เครื่องไหนก็ได้ที่มีอินเตอร์เน็ต !!!

ข้อจำกัดเรื่องขนาดความจุ Inbox ในสมัยนั้นไม่ใช่ปัญหา เพราะไฟล์ส่วนใหญ่ขนาดเล็ก อินเตอร์เน็ตโลกเรายังไม่เร็วพอที่จะรับส่งอะไรใหญ่ๆ ได้ละมั้ง ข้อจำกัดเดียวของ Free E-Mail สมัยนั้นคือ ถ้าไม่ได้ Login เข้ามาใช้งานเกิน 3 เดือน มันจะระงับบัญชีและก็ใช้ไม่ได้

(E-Mail ทำให้เรารู้จักศัพท์อินเตอร์เน็ตคำแรกๆ คือ Login ซึ่งเด็กหลังเขาอย่างพวกเราสมัยนั้นอ่านว่า โล-จิ้น)

และพอสมัคร E-Mail ได้แล้ว ก็ตระเวนสมัครอะไรอย่างอื่นที่มันฟรีให้เยอะไปหมด 55555+

Web Site

เว็บไซต์หลายๆ เว็บที่เรารู้จักสมัยนั้น ปัจจุบันก็ล้มหายตายจากไปเยอะเหมือนกัน อย่าง Geocities.com นี่แน่นอนว่าหมดลมไปนานแล้ว ที่ยังจำได้และปัจจุบันยังมีอยู่ก็ Bluemountain.com ที่เอาไว้ส่ง e-Card หาเพื่อนหาสาวๆ

แต่เว็บที่อยู่มายาวนานจนน่าตกใจ (ในความรู้สึกนะ) คงเป็น Yahoo!


Yahoo! Homepage ในปี พ.ศ.2541 
(ขอบคุณภาพประกอบจาก marccrouch)

หน้า Homepage ของ Yahoo! ที่อยู่ในความทรงจำตอนนั้นก็ประมาณภาพข้างบนนี่ แต่ที่จำติดตาคือไอ้รูปที่อยู่ในวงกลมข้างๆ โลโก้ Yahoo! ด้านบน มันจะมีรูปแว่นกันแดดแทน Cool แล้วก็มีรูปพริก 2 เม็ดแทน Hot เป็นอะไรที่งงมากในตอนนั้นว่ามันหมายถึงอะไร ??

เว็บไซต์แรกในชีวิตที่รู้จักคือ Sanook.com เมื่อครั้งที่ได้รู้จักอินเตอร์เน็ตครั้งแรกตอน ม.3 (พ.ศ.2540) เพราะเฮียโดม (ลูกพี่ลูกน้องคนรอง) พาไปเล่นที่ร้านอินเตอร์เน็ตร้านแรกในนครสวรรค์บนชั้น 2 ศรีไกรลาส (ชั่วโมงละ 30 บาท) เป็นอะไรที่ตื่นเต้นน่าสนใจมาก เพราะด้วยความที่มันเป็น Web Portal แห่งแรกๆ ในเมืองไทย คือในหน้า Homepage มันมีอะไรเยอะแยะไปหมด ทั้งภาพดารา, หนังใหม่ที่กำลังเข้าโรง ฯลฯ

แต่สิ่งที่ทำให้เราติดอินเตอร์เน็ตอย่างลึกซึ่งก็คือ Chat นั่นเอง

Chatroom

ประสบการณ์ Chat ครั้งแรกในชีวิตของหลายๆ คนคงเป็น PIRCH หรือ ICQ แต่ของเรา โปรแกรม Chat ตัวแรกที่ได้เห็นก็คือ Microsoft Chat


(ขอบคุณภาพประกอบจาก Wikipedia)

แต่ด้วยความที่มันไม่มีใครคุยด้วย ก็เลยได้แตะๆ แป้ปเดียวแล้วก็ไม่ได้สนใจมันอีก แต่โปรแกรม Chat จริงๆ ที่ทำให้เริ่มติดครั้งแรกก็คือ Chatroom ใน Sanook.com นั่นแหละ

ครั้งแรกในการ Chat ใช้ Nickname ใน Sanook Chatroom ว่า L'Arc~en~Ciel เพราะตอนนั้นเราชอบวงนี้มากๆ แล้วก็เปิดตัวสำเร็จเพราะเราคุยกับชาวบ้านด้วยภาษาโบราณ ("สูเจ้าเหตุไฉนจึงได้สนทนากับตัวข้าเยี่ยงนี้", "ใยมิบอกหมายเลขโทรศัพท์ของท่านฤา" ฯลฯ) จนมีคนใน Chatroom ทักว่า ท่าน L'Arc ท่านมาจากสมัยหือหรือไร...แล้วไอ้สมัยหือนี่มันสมัยไหนวะ ฮาาาาาา

(ถ้าใครยังจำได้ ดังพันกร นักร้อง RS ที่ดังมากๆ ตอนนั้น ออกอัลบั้มพิเศษมามีเพลงนึงชื่อว่า "ปรารถนาสิ่งใดฤา" คิดว่ามันต้องไม่ใช่ความบังเอิญแน่ๆ 555555)

แน่นอนว่า Sanook Chatroom ดังแค่ไหนก็คงสู้กระแส PIRCH ในบ้านเราไม่ได้

PIRCH

ครั้งแรกที่เล่น PIRCH ก็เล่นตามเครื่องข้างๆ แหละ ก่อนจะเป็น PIRCH98 ก็ต้องเจอ PIRCH32 ก่อน (แต่เหมือนจะไม่นานนัก)


(ขอบคุณภาพประกอบจาก dvdgameonline)

ในรูปข้างบนก็จะเห็นห้องที่ดังสุดในจังหวัดเราตอนนั้น "#นครสวรรค์น่ารัก" นั่นเอง นอกนั้นห้องดังๆ ก็คงเป็นพวก #น่ารัก, #หาแฟน อะไรพวกนี้ เด็กวัยรุ่นเล่น PIRCH กันทั้งบ้านทั้งเมือง พวก Command ต่างๆ ก็จำกันขึ้นใจ /me /nick อะไรเหล่านี้เป็นกันทุกคน เวลาไปเล่นเน็ตตามร้านต้องมีสมุดเล็กๆ ไว้จดเบอร์โทรศัพท์ จดที่อยู่ที่ขอจากใครก็ไม่รู้ในนั้น แล้วก็โทรไปหา นัดเจอ ฯลฯ อะไรก็ว่าไป

สิ่งที่น่าจดจำที่พอรำลึกได้ก็คงพอแค่นี้ครับ เพราะต่อจากยุคนี้ไปก็เป็นอะไรที่เราคุ้นเคยกันแล้วละ :)

20 พฤษภาคม 2556

176 | 梦随风飘

ชื่อ Entry นี้เป็นภาษาจีนครับ อ่านว่าอะไรเหรอ...ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน

รู้แต่ว่ามันคือสิ่งที่ผมตามหามานานมาก เอาระยะเวลาแบบใกล้เคียงก็น่าจะประมาณปี พ.ศ.2549 คือตั้งแต่เมื่อ 7 ปีที่แล้วนั่นเอง แล้วผมก็เพิ่งจะค้นพบมันเมื่อกี้นี้ !!!

梦随风飘

จะบอกว่าตามหาแบบจริงๆ จังๆ เลยก็ไม่ถึงขนาดนั้นครับ คือเรื่องมันเริ่มจากช่วงประมาณปี พ.ศ.2549 ผมไปดาวโหลดเพลงภาษาจีนมาจากแหล่งไหนก็ไม่รู้บนอินเตอร์เน็ต ซึ่งน่าจะเป็นไฟล์ zip ที่บีบรวมเพลงมาหลายๆ เพลง (ในนั้นมีเพลงประกอบละครเปาบุ้นจิ้น, Jay Chou แล้วก็เพลงของหวังลีฮอมที่กำลังดังอยู่ด้วย) แล้วพอฟังๆ ไป ผมก็มาประทับใจกับเพลงอยู่เพลงหนึ่ง คือฟังแรกๆ มันก็ไม่ได้เพราะอะไรเลยครับ แต่พอฟังบ่อยๆ เปิดวนไปหลายๆ วันเข้า เกิดชอบขึ้นมาซะงั้น เพลงนี้ก็เลยเป็นหนึ่งในเพลงโปรดที่ผมมักจะเปิดขึ้นมาฟังเรื่อยๆ เวลาทำงานกับคอมพิวเตอร์เครื่องที่บ้าน

ต่อมาตอนไปเรียนโท บางครั้งผมก็มีโอกาสขับรถไปเองวันเสาร์-อาทิตย์ ก็เอาเพลงจีนหลายๆ เพลงรวมเพลงนี้ด้วยแหละครับ ไรท์ใส่แผ่นไปฟังในรถด้วย (ตอนนี้ไฟล์เพลงที่ว่ามี 2 Copy แล้วนะครับ)

ไปๆ มาๆ Hard Disk คอมที่บ้านมีปัญหา ได้เปลี่ยนใหม่ แน่นอนว่าไฟล์เพลงอันนั้นก็หายสาปสูญไปด้วย ผมเองตอนนั้นก็ลืมๆ ไปแล้วว่ามีเพลงนี้อยู่ (คืออารมณ์ฟังเพลงผมมันจะแล้วแต่ช่วงเวลาอะครับ บางช่วงก็เห่อเพลงแบบนึง แล้วก็เปลี่ยนไปเห่อเพลงแบบนึง) ก็ปล่อยผ่านเลยไปครับ จนอยู่มาวันหนึ่งเกิดอยากฟังเพลงนี้ขึ้นมา เลยจะหาโหลดใหม่จากในเน็ต...

มืดมนเลยครับ เพลงชื่ออะไรก็ไม่รู้ ใครร้องก็ไม่รู้ รู้แค่ว่ามันเป็นภาษาจีน -_-"

ก็เป็นอันว่าอดฟังกันไป จนผมไปเจอแผ่น CD ที่มีเพลงที่ว่านี้ในรถนั่นแหละครับ ดีใจมากๆ เลยตอนนั้น ถึงกับต้องรีบเอามา Copy ลงคอมพิวเตอร์ไว้เลย เพราะแผ่น CD ก็ลายมากแล้ว กลัวว่าเจ๊งแล้วจะหาฟังไม่ได้อีก ...จนปัจจุบันแผ่นนี้เปิดไม่ได้แล้วครับ เสียไปเรียบร้อย (ตอนนี้ไฟล์เพลงที่ว่าเหลือ Copy เดียวละนะ)

วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ การใช้งานคอมพิวเตอร์ของผมก็มีการเปลี่ยนผ่านเครื่อง การ Format Hard Disk มานับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งส่วนใหญ่เวลา Back Up จะนึกถึงแต่พวกไฟล์งานแล้วก็โปรเจ็คต่างๆ ที่เกี่ยวกับงาน (แค่นั้นก็เยอะแล้วแถมตกหล่นอยู่เรื่อย) พวกโปรแกรมนี่ไม่สนครับ ถือซะว่าเดี๋ยวก็ดาวโหลดใหม่ได้ ส่วนพวกเพลงนี่ไม่เก็บเลย เอาไว้อยากฟังค่อยเปิดหาใน Youtube เอา ทำแบบนี้ทุกครั้งเวลา Format หรือย้ายเครื่อง

จนมาถึงวันที่อยากฟังเพลงจีนเพราะๆ เพลงนั้นขึ้นมา แต่ไม่รู้จะหาฟังได้ที่ไหนนั่นแหละครับ เสียดายขึ้นมาทันทีเลย อะฮึๆๆๆ

ไม่อยากเชื่อตัวเองเหมือนกันครับ ในวันที่ลองสมัครใช้ Dropbox เป็นครั้งแรกๆ ผมเอาไฟล์เพลงจีนที่ Copy มาจากแผ่น CD ในรถนั่น ใส่ Dropbox ไปด้วย และก็เพิ่งรู้เมื่อกี้เองครับตอนที่ลองหาไฟล์อะไรใน Dropbox Folder ของตัวเองไปเรื่อย...ตกใจเลย โอ้วววว มันยังอยู่ :)))


เพลงที่ 4 จากข้างล่างนั่นแหละครับ เพลงโปรดอันแสนลึกลับในตำนานของผม

เปิดฟังกันไป 2-3 รอบให้ชื่นใจแล้วก็ได้เวลามาตามหาความจริงกันแล้วครับ ว่ามันคือเพลงอะไรแน่ เผื่อไว้ว่าถ้าวันนึงไฟล์เพลงนี้มันหายไปอีก (ด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่เหอะ) ผมต้องสามารถหามันมาฟังได้อีก แต่ก็อย่างที่บอกไปตอนแรกครับ ไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเพลงนี้เลย รู้แต่ว่ามันเป็นเพลงภาษาจีน ไฟล์ชื่อ renamed_ (msfp).mp3 (อะไรวะ?) แถมข้อมูล Tag ไม่มีเลยซักอัน แล้วจะหายังไง

อันดับแรก ผมนึกถึง Shazam ครับ

อันนี้ค่อนข้างเชื่อมือ เพราะว่าเคยเอาไปหาเพลง 21Guns ของ Green Day ให้ อจ.โอมมาแล้ว จากที่มันเปิดแบบเบาโคตรๆ ในร้านกาแฟก็ยังเจอได้ ผมจัดการโหลด Shazam App ใน iPhone ทันทีครับ เปิดเพลงจีนลึกลับให้ Shazam ฟังไปสักพัก ปรากฏว่า...หาไม่เจอ

โอเค (แอบใจหาย) สงสัย Shazam จะฟังเพลงจีนไม่ออก เอาไงต่อดีครับ...ผมนึกถึงบริการอื่นแนวๆ นี้ที่ไม่ใช่ Shazam ลองเปิด Google หาด้วยประโยคว่า "music search engine"

เว็บแรกที่เจอคือ midomi ครับ ก็เลยลองกับอันนี้ก่อนเลย หลักการของมันคือมันจะมีปุ่ม (ทำจาก Flash) ให้กดในหน้าเว็บ แล้วเราก็เปิดเพลงหรือไม่ก็ฮัมเพลงใส่ไมโครโฟนของคอมให้เว็บมันฟัง แล้วมันก็จะเอาไปค้นหาในระบบของมันให้ ...จริงๆ มันก็เหมือนกับ Shazam อะแหละ

ผลการค้นหาเป็นหน้าจอนี้ครับ


กวาดสายตาครั้งแรกก็เจอประโยคนี่เลย... 0 midomi user recordings 

คือพอเห็นเลยศูนย์ก็ทำใจแล้วอะครับว่า เออ ไม่เจออีกแล้วมั้ง ช่างมันเหอะ แต่ก็พอดีแว้บๆ เห็นตัวหนังสือภาษาจีนตรงข้างบน (แถบสีเทาๆ อะครับ)

ผมคิดว่าเฮ้ย อันนี้ป่าววะ ?? คืองงว่าข้างล่างมันบอกเจอ 0 แต่ข้างบนมันเจออะไร ก็รีบ Copy ตัวหนังสือจีนอันนั้นแหละครับ Search ต่อใน Google เลย

ผลออกมาคือ


เอ๊ะ !!! คลิปอะไรๆๆๆๆ

เอาแล้วครับ มาถึงปากถ้ำแล้ว ในที่สุด....คลิกเข้าไปที่คลิป


แต๊นๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เพลงดังออกมาจากเว็บ youku ซึ่งก็น่าจะเป็นเหมือนๆ Youtube ของจีน

ป๊าดดดดดดดดดดดดดดดด ชัดเจนครับ เพลงนี้แหละ !!! เพลงนี่เล้ยยยยย !!!!

จากการงมแบบไม่รู้เหนือใต้ในตอนแรก จนมาหาเพลงนี้เจอในที่สุด ดีใจมากๆ ครับ ผมเอาชื่อเพลงไปหาต่อใน Youtube และเก็บ Favourite ไว้เรียบร้อย เอาชื่อไป Rename ไฟล์เพลงเดิม และ Back Up ชื่อไว้อีกหลายๆ ที่แล้ว คิดว่าต่อไปอยากฟังอีกคงไม่ต้องหาให้วุ่นวายเหมือนตอนนี้แล้วครับ 555555





ป.ล.1
ผมเอาคำว่า 梦随风飘 ไปแปลใน Google Translate แปลเป็นภาษาอังกฤษออกมาได้ว่า "Dream gone with the wind" ภาษาไทยมันแปลให้ว่า "ความฝันที่หายไปกับลม" โอ้โหโคตรเท่อะ ดูจากคลิปอีกอันที่หาเจอ มันน่าจะเป็นเพลงประกอบละครเรื่องอะไรสักเรื่อง

ลองฟังเพลงลึกลับในตำนานของผมที่ว่านี้ดูครับ





ป.ล.2
ลองฟังเพลงอื่นที่ผมหาเจออีกในบรรดาไฟล์เพลงจีนของผมดูนะครับ



เพลงนี้ออกแนวบรรยากาศยุคเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ คือผมชอบอารมณ์ในยุคนั้นมากเลยอะ



เพลงนี้ผมก็ชอบเพราะฟังดูหวานๆ เพราะดีไปอีกแบบครับ

15 พฤษภาคม 2556

175 | The Impossible หนังจบ อารมณ์ไม่จบ


จริงๆ ครับ

หนังที่ดูจบแล้วรู้สึกว่า อารมณ์มันยังค้างๆ อยู่ในใจ ในชีวิตที่ดูหนังมาก็มีหลายเรื่องนะครับ แต่ถ้านับในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ The Impossible เป็นหนังที่สร้าง Impact ในความรู้สึกผมได้ "รุนแรง" ที่สุดครับ

เพิ่งดูจบไปเมื่อคืนนี้ หนังความยาวเกือบ 2 ชั่วโมงเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกเบื่อหน่ายเลยแม้แต่ช่วงเดียว ในส่วนของความตื่นเต้น หวาดเสียว ก็มีให้เห็นเป็นระยะๆ แต่ความรู้สึกที่ส่งผลกับผมมากที่สุดกลับเป็น...

"ความกลัว" ครับ

แน่นอนว่ามันเป็นเพราะผมมี "อารมณ์ร่วม" กับฉากในน้ำทะเล ซึ่งปรากฏให้เห็นจะๆ ในหนัง

ตั้งแต่เหตุการณ์ที่เกือบทำให้เอาชีวิตไม่รอดเมื่อปี 2549 เป็นต้นมา ผมก็มองทะเลไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทั้งภาพของคลื่นน้ำ ฟองอากาศที่หมุนวนอยู่รอบๆ เสียงคลื่นที่ดังก้องอยู่ในหูเพียงอย่างเดียว รสเค็มจนเกือบจะขมของน้ำทะเลที่ไหลวนเข้าออกทั้งปาก จมูก หู และตา ความหนาวเย็นจับใจของน้ำทะเลที่ท่วมท้นอยู่จนเหมือนกับจะไม่สามารถหลุดออกจากมันได้ สัมผัสของพื้นทรายที่คว้าเท่าไรก็ไม่อยู่ ทุกอย่างนี้ยังคงหลอกหลอนผมอยู่ทุกครั้งที่เห็นภาพทะเล

ทุกอย่างที่ว่ามาอยู่ในหลายๆ ฉากของหนังเรื่องนี้ครับ และมันก็พาผมกลับไปอยู่ในความรู้สึกแบบนั้นอีกครั้ง ผมร้องไห้ออกมาทุกครั้งและภาวนาด้วยอาการสั่นไปทั้งตัวให้ฉากที่ว่ามันพ้นๆ ไปเสียที จนหนังจบแล้วก็ยังคงรู้สึกสั่นๆ กลัวๆ อยู่เลย

จริงๆ ครับ ความรู้สึกแบบนี้ ใครไม่เคยเจอกับตัวไม่รู้หรอก

เหมือนที่ลองไปอ่านๆ ในพันทิป หลายๆ คคห ที่พูดถึงหนังเรื่องนี้ว่าไม่รู้สึกอะไรเลยกับฉากหายนะที่หนังนำเสนอ แม้กระทั่งเอาไปเปรียบเทียบกับหนังโลกแตก (ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นจริง) อย่าง The Day After Tomorrow และ 2012 ว่าสองเรื่องนั้นยังสมจริงกว่าเยอะ จนหลายคนที่เคยอยู่ในเหตุการณ์สึนามิปีนั้นต้องออกมาจวกด้วยอาการเดียวกับผม ก็คือ ถ้าไม่เจอกับตัวก็คงไม่เข้าใจว่าความรู้สึกมันเป็นยังไง


หนังสร้างจากเรื่องจริงของครอบครัวหนึ่งที่ผ่านเหตุการณ์สึนามิถล่มที่เขาหลักเมื่อปี พ.ศ.2547 ซึ่งจะรอดตายกันหมดครอบครัวหรือไม่นั้นก็คงต้องไปหาดูกันเอาเอง ถ้าวิจารณ์ในแง่ของคนดูหนัง หนังเรื่องนี้เป็นหนังดราม่าที่ดีมากครับ ความสมจริงของฉากและลำดับเหตุการณ์ก็ทำได้เนียนมากเลยทีเดียว และถ้าเราไม่ใส่ใจเรื่องของสัญลักษณ์ต่างๆ ในหนัง สิ่งที่เห็นก็คือภาพที่สมจริงมากจากมุมมองของผู้ประสบเหตุการณ์เลยละ และต่อให้ท่านเป็นคนที่ชอบดูหนังหรือไม่ก็ตาม เรื่องนี้เป็นหนังที่อยากให้ดูกันจริงๆ ครับ

14 พฤษภาคม 2556

174 | NCCIT 2013

มาเล่าเหตุการณ์เล็กๆ ให้อ่านกันนิดนึงครับ

คือเมื่อวันที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมา มีโอกาสได้ไปนำเสนอ Paper (Proceeding) ในงาน NCCIT2013 (The 9th National Conference on Computing and Information Technology) งานสัมมนาทางด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่จัดโดย ม.พระจอมเกล้าพระนครเหนือ และปีนี้ก็จัดที่พระนครเหนือนั่นแหละครับ



Paper นี้เป็นงานแรกตั้งแต่เรียน ป.เอก (ถ้านับก่อนเรียนด้วยก็เป็นงานที่สอง) แถมส่งไปในงานที่ออกจะจริงจังมากๆ ผมลุ้นตั้งแต่ส่งไปครั้งแรกก่อนหน้านี้ที่งาน NCIT2013 แต่ก็โดน Reject อย่างเจ็บปวด อาจารย์ที่ปรึกษาเลยเอาให้งานนั้นมาปรับเพิ่มเติมไปพอสมควรแล้วลองส่งใหม่ที่นี่ ผมก็ปรับแต่งเรียบร้อยแล้วก็ส่งเข้า Easychair ไป แล้วก็ลืมไปเลย (จริงๆ ตั้งเตือนวันประกาศผลไว้ในมือถือแล้วละ)

แล้วก็ Accident ครับ ขาหักนอนโรงพยาบาล -_-"

ช่วงนั้นลืมไปเลยครับ ไม่สนใจแล้วว่าจะได้รึไม่ได้ คือคิดอยู่แค่ 2 เรื่องใหญ่ๆ คือ วิชาเรียนในเทอมนั้น (2/55) ยังไม่ได้ส่งงาน, สอบปลายภาค กับห่วงว่าขาที่หักเนี่ยจะเดินได้เหมือนเดิมหรือเปล่า เรื่องอื่นไม่สนแล้วตอนนั้น และในระหว่างที่นอนอยู่โรงพยาบาลหลังผ่าตัดนั่นเอง ก็มีเมลเข้ามา (จำได้ว่าเป็นวันที่ 8 มี.ค.ตอนค่ำๆ)

Dear Correspondent Author
NCCIT2013- 58Author(s): ชยันต์ นันทวงศ์Title: การวิเคราะห์กรอบมาตรฐานของโครงสร้างหลักสูตรสาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ ฯ
Congratulations. We are pleased to inform you that your paper has been ACCEPTEDfor ORAL presentation at the NCCIT2013.
(ต่อจากนี้คือรายละเอียดบลาๆๆ)

ดีใจมั้ย...ดีใจครับ แต่มันไม่สุดง่ะ คือรายละเอียดในเมลด้านล่างๆ มันมีคอมเมนต์จาก Reviewer 2 ท่าน ให้แก้อีกบานตะไทเลย ปัญหาคือ ณ ชั่วโมงนั้นผมยังไม่รู้เลยว่าจะได้ออกจากโรงพยาบาลเมื่อไร ต่อให้กลับไปอยู่บ้านแล้วก็ไม่รู้ว่าจะเดินเหินได้เป็นปกติอีกเมื่อไร สภาพตอนนั้นก็ตื้อๆ ไปหมดครับ เลยตัดสินใจว่า เอาให้กลับบ้านได้ก่อนค่อยคิดละกันวะ

พอกลับมาอยู่บ้านแล้วก็เอา Paper มาแก้ตามคอมเมนต์เรียบร้อยก็ส่งกลับไปครับ ใช้เวลาดำเนินการอยู่หลายวันจนเสร็จเรียบร้อยก็โอเคครับ รอวันไปนำเสนออย่างเดียว แต่จนแล้วจนรอดก็...หายไม่ทันครับ

การเดินทางไป กทม.ครั้งนี้เลยทุลักทุเลที่สุดเท่าที่เคยไปมาเลย เอาตั้งแต่ว่า:

- เดินเองไม่ได้ เลยเดินไปขึ้นรถตู้เองไม่ได้ แล้วตอนลงรถก็คงจะเดินไปต่อไม่ไหว
- ม.พระจอมเกล้าพระนครเหนืออยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่เคยไป
- จะแบก Notebook และเอกสารอื่นๆ ขึ้นหลังไปด้วยก็เกรงจะหกล้มขาหักอีกรอบ

สุดท้ายก็ต้องยอมตามข้อเสนอของแม่ครับ คือตัดสินใจเหมารถตู้ไป และก็ไปทั้งครอบครัวครับ อย่างน้อยก็ช่วยดูแลได้ระหว่างการเดินทาง และหลังจากส่งผมเข้างานแล้วที่บ้านก็ยังไปเที่ยวห้างหรืออะไรอื่นได้ ผมก็เลยชวน อ.ตุ๋งไปด้วยกันเลยเพราะว่านำเสนอวันเดียวกัน ได้ อ.ตุ๋งช่วยดูแลตอนอยู่ในงานเลยรอดตัวไปหลายเรื่องครับ

เราออกเดินทางตอนตี 4 เพื่อที่จะไปทันลงทะเบียนตอนเช้า ปรากฏว่ารถตู้ที่จ้างมานั้นขับรถได้มันสะใจมากครับ เมารถกันทั้งคัน ผมอดนอนตั้งแต่กลางคืนเพราะตื่นเต้นสุดๆ (เป็นแบบนี้ประจำ 55555) ก็นั่งผะอืดผะอมไปตลอดทาง ส่วนพ่อกับ อ.ตุ๋งเมารถจริงจังครับ ดูแล้วทรมานมาก T_T


สถานที่จัดงาน คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ เดินจากที่จอดรถไปไกลพอสมควรแทบเป็นลม 
(สำหรับคนที่เดินด้วยไม้ค้ำยันอย่างผมนะ)



บรรยากาศในห้องรวมตอนครึ่งเช้า

กำหนดการคือช่วงเช้าจะเป็นการเปิดงานโดยอธิการบดี และ Invited Keynote Speech โดยนักวิชาการที่ดังมากมายในวงการคอมพิวเตอร์เรา 2 ท่าน ท่านแรก (Professor, Ph.D., D.Sc. Janusz Kacprzyk) พูดเรื่องที่ผมยอมรับเลยว่าฟังไม่รู้เรื่องซักนิด ส่วนท่านที่สอง (Prof. Dr. Mark Weiser) พูดเรื่องเกี่ยวกับ Securities อันนี้รู้เรื่องแต่ก็ฟังไม่ค่อยครบเพราะเริ่มหลับๆ ตื่นๆ แต่เรื่องก็น่าสนใจดีนะ


ของที่ได้รับในงานก็มี ป้ายชื่อ (อย่างเท่), กระเป๋า Notebook ปักลาย NCCIT สวยงาม, หนังสือรวม Abstract และเอกสารต่างๆที่เกี่ยวข้อง, Thumb Drive 4 GB ลาย NCCIT ข้างในมีไฟล์รวมเล่ม Paper เป็น PDF และสุดท้ายคือเสื้อลาย NCCIT สวยงามมากครับ

พอถึงช่วงบ่ายก็แบ่งเข้านำเสนองานตามห้องที่กำหนด คิวผมอยู่ประมาณ 4 โมงเย็น แต่โชคดีที่คนก่อนหน้านำเสนอเสร็จเร็ว แถม Chairman ดำเนินงานค่อนข้างกระชับ เลยได้ขึ้นก่อนเวลาพอสมควร ก่อนจะขึ้นนำเสนอสักพัก อาจารย์ที่ปรึกษา (ผศ.ดร.จักรกฤษณ์ เสน่ห์ นมะหุต) ก็มาให้กำลังใจด้วยพร้อมกับ อ.ตุ๋งที่นำเสนอเสร็จแล้ว ความรู้สึกตอนนั้นคือตื่นเต้นและกดดันกว่าเดิมครับ เพราะอาจารย์ที่ปรึกษามาจับตาดูการนำเสนอนี่แหละ 55555+

ช่วงที่ผมนำเสนอเป็นช่วงหลังเบรคพอดี ซึ่งก็ปรากฏว่าผู้นำเสนอหลายๆ คน (ที่คอยจะถามคำถามเรา) กลับไปเกือบหมดแล้ว ตอนแรกๆ ก็โล่งใจนิดๆ ครับที่จะไม่ค่อยมีคนคอยถามมากนัก ที่ไหนได้...คณะกรรมการจัดงาน NCCIT มานั่งเพียบเลยครับ แถมแต่ละท่านถามคำถามจนผมลนลานมากขึ้นเรื่อยๆ (เวงเอ๊ย T_T) สุดท้ายก็เลยเงียบครับ เงียบแล้วก็ยิ้มอย่างเดียว รอ Chairman ไล่ลง แหะๆๆๆๆ :P


สภาพตอนนำเสนอ อนุเคราะห์ถ่ายภาพโดย อ.ตุ๋ง :)

นำเสนอเสร็จก็โล่งอกครับ กลับบ้านได้อย่างสบายใจ แต่สภาพแต่ละคนนี่หมดเรี่ยวแรงกันถ้วนหน้า กลับมาถึงบ้านประมาณ 1-2 ทุ่มก็ไม่ทำอะไรแล้วครับ อาบน้ำเสร็จก็นอนหลับเงียบกริบกันทั้งบ้าน 555555


อาจารย์ที่ปรึกษา / ข้าพเจ้าผู้พิการ / อ.ตุ๋ง

สรุปว่าประสบการณ์ในการนำเสนอ Paper ในสนามแรกของ ป.เอกครั้งนี้ เป็นอะไรที่ตราตรึงใจมากครับ อาจารย์ที่ปรึกษาก็บอกว่า ดูแนวทางไว้ เอาคำแนะนำจาก Chairman และผู้ฟังมาเพิ่มเติมงานและเตรียมส่งเวทีต่อไป...เมื่อขาหายดีแล้ว :)

หวังว่างานหน้าจะมีโอกาสได้ไปนำเสนอในสภาพครบ 32 นะครับ 555555+