หน้าเว็บ

30 มีนาคม 2552

069 | โปรโมชั่น Bon Bon Club

เมื่ออาทิตย์ก่อนโน้นพาน้องจากพิดโลกไปเฮมาครับ หลังจากที่ไม่ได้ไปมานานมากๆ
เจอโปรนี้เข้าไปน้ำลายไหลเลย



ไปเร็วๆ แล้วก็สั่งมิกตุนไว้เยอะๆ ก่อน 4 ทุ่มครึ่ง คุ้มครับ คุ้มสุดๆ


ป.ล. ผมรู้สึกว่าบรรยากาศร้านเขาตกแต่งดีขึ้นเยอะครับ แต่วงดนตรีที่มาเล่นชักไม่ค่อยเหมือนตอนร้านเปิดใหม่ๆ เล่นไม่ค่อยปลื้มเท่าไรครับ

068 | หวยออกป้ายทะเบียน

วันนี้พอมีเวลาว่างอยากมานั่งเขียน Blog ซักหน่อยครับ
เมื่อคราวก่อนโน้นที่เล่าไว้ว่าไปดูสวดภาณยักษ์มา แล้ววันรุ่งขึ้นหวยออกเลขทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์ผมนั้น
มางวดต่อมาก็มีให้ฮากันอีกแล้วครับ

ลองดูเลขท้ายสองตัว



งวดแรกเดือนมีนาคม 2552



งวดที่สองเดือนมีนาคม 2552



ทะเบียนรถผม...

27 มีนาคม 2552

067 | เช็คช่วยชาติ

กลับจากเสม็ด-พัทยาแล้วครับ วันนี้ก็ไปรับเช็คช่วยชาติมาแล้ว ล็อตแรกเลย โอ้ววว



หลักฐานครับ ได้มากะมือเห็นๆ

ยังไม่ได้ขึ้นเงินครับ เพราะว่ายังไำม่รู้จะเอาไปทำอะไรดี รอดู Promotion ตามร้านก่อนดีกว่า

24 มีนาคม 2552

066 | หนึ่งคืนบนเกาะเสม็ด

มาใช้อินเตอร์เน็ตที่รีสอร์ทเล่นชั่วคราวครับ เขาคิดนาทีละ 2 บาทแน่ะ
ไม่อยากเล่นเท่าไรหรอกครับแต่คิดว่า ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว มาเขียน Blog เป็นที่ระลึกซัก Entry นึงก็คงโอเคอยู่อะนะ



7-Eleven บนเกาะเสม็ดครับ



ลมแรงเหลือเกิน หัวฟูยังกะนักท่องเที่ยวจากญี่ปุ่น

ไว้กลับไปจะเขียนต่อนะครับ มีเรื่องเล่าเยอะแยะเลย (นั่งเล่นอยู่แป้ปเดียวนี่ก็ 10 นาทีเข้าไปแล้ว แพงๆๆๆ)

20 มีนาคม 2552

065 | พบ อ.แมน เล่นหนัง "ความจำสั้นฯ"



ภาพจากคาราโอเกะเพลงประกอบภาพยนตร์ ความจำสั้น แต่รักฉันยาว

เล่นเป็นหมอเก่งตอนวัยรุ่นซะด้วย เจอหน้าต้องขอลายเซ็นหน่อยแล้ว โอ้ววววๆๆๆ

19 มีนาคม 2552

064 | ความจำสั้น แต่รักฉันยาว

เมื่อวานไปดูหนังมาครับ
เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ไปดูหนังที่ Major เรื่องสุดท้ายที่ดูจำไม่ได้แล้วว่าเรื่องอะไร แต่ที่ไปดูคราวนี้คือ "ความจำสั้น แต่รักฉันยาว" ครับ



หนังก็ดูสนุกจริงตามที่หลายๆ คนเคย Review ไว้ตามเว็บต่างๆ แต่ตอนแรกที่ดูจบผมก็ยังรู้สึกงงๆ อยู่ว่า ทำไมจบแบบนี้หว่า เหมือนจบไม่ค่อยดีเลย แต่กลับมาแล้วมานั่งคิดหาเหตุผลหลายๆ อย่างในรายละเอียดในหนังที่เพิ่งดูจบไป สุดท้ายก็พอสรุปได้ละครับว่า หนังทำมาแบบนี้ก็สมบูรณ์แล้ว สมบูรณ์พอดีเลยแหละ

ถ้าคิดว่าจุดหลักของเรื่องนี้เป็นคู่ของหมอเก่งกับฝ้าย อาจจะดูเหมือนหนังไม่ค่อยให้ความสำคัญกับบทสรุปของทั้งสองคนมากนัก แต่ผมกลับคิดว่า ส่วนสำคัญที่เปรียบเหมือน Main Concept ของเรื่องนี้ น่าจะเป็นคู่ของลุงจำรัสกับป้าพิซซ่ามากกว่า ด้วยองค์ประกอบหลายๆ อย่างของหนัง (ชื่อเรื่อง, คำโปรยหัวของหนัง, เพลงประกอบภาพยนตร์ที่พี่เบิร์ดร้อง) เหมือนกับว่าหนังเรื่องนี่เป็นเรื่องราวของคู่ลุงป้า และมีคู่หนุ่มสาวเป็นส่วนเปรียบเทียบให้เห็นความต่างในเหตุผลบางเรื่องครับ

ปกติผมดูหนังแต่ละเรื่องจบก็สรุปได้ว่าหนังเรื่องนี้ดีหรือไม่ดี (สำหรับผมเอง) แต่เพิ่งจะมีหนังเรื่องนี้แหละครับที่ไม่ใช่แค่ดูสนุก แต่มันกลับให้ "ความประทับใจ" ให้ผมได้รับรู้ต่อเนื่องมาอีกแม้ว่าหนังจะจบไปแล้ว ซึ่งยอมรับเลยว่าไม่เคยดูหนังเรื่องไหนที่ให้ความรู้สึกแบบนี้มาก่อน ภาพและเรื่องที่เห็นในช่วงเวลาที่หนังฉาย และองค์ประกอบที่ต่อยอดให้คิดได้อีกหลังจากหนังจบ ทำให้ผมรู้สึกว่า หนังเรื่องนี้ "สมบูรณ์" และให้ความ "ประทับใจ" อย่างแท้จริง

สำหรับตัวผมเองแล้ว ให้ 10/10 เลยครับ

Favorite Quote จากหนัง ผมประทับใจอันนี้อันเดียวเลย

"ไม่มีหรอกที่จะไม่ลืม แต่จะลืมช้า หรือลืมเร็วเท่านั้นเอง"

18 มีนาคม 2552

063 | Slide วิชาสัมมนา IT ปี 4

เมื่อวันที่ 17 มี.ค. (เมื่อวาน) ไปเป็นวิทยากรจำเป็นให้ นศ. IT ปี 4 วิชาสัมมนาครับ
และนี่คือ Slide ที่เผาแบบชั่วข้ามคืน คิดว่าอาจจะพอมีประโยชน์บ้างครับ

16 มีนาคม 2552

062 | R.I.P. 'รงค์ วงษ์สวรรค์



ภาพปกนิตยสาร a day ฉบับ 'รงค์ วงษ์สวรรค์


นักเขียนในตำนานจากไปอีกคนแล้วครับ
15 มีนาคม พ.ศ.2552 'รงค์ วงษ์สวรรค์ เสียชีวิตอย่างสงบด้วยวัย 77 ปี
ผมได้เรียนรู้เรื่องราวของเขาจากนิตยสาร a day ฉบับที่ 41
ผมไม่เคยอ่านหนังสือของเขาเลยแม้แต่เล่มเดียว แต่ผมนับถือเขามาก ชีวิตของ 'รงค์ สร้างแรงบันดาลใจหลายอย่างในชีวิตของผม
เรื่องของคนที่ใช้ชีวิตสุดขอบเต็มที่ อหังการแบบสุดขั้ว และพบจุดจบที่สง่างาม
ผมฝันไว้ว่า สักวันหนึ่ง ผมจะเป็นได้ เหมือนที่ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ เป็น

R.I.P. ขอให้สู่สุคติครับ.

15 มีนาคม 2552

061 | Life in Technicolor II



ผมชักจะหลงไหล Coldplay มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิครับ

13 มีนาคม 2552

060 | Success for Comprehensive Examination

สอบ Comprehensive ผ่านแล้วคร๊าบบบบบบบบบบบบบบ !!!!!


(ภาพจากเว็บตรวจผลสอบ : http://www.sci.nu.ac.th/grade/GradeComprehensive.asp)

หลังจากสอบมาเป็นรอบที่ 3 ก็ผ่านได้ซะที
ขอขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกท่านที่มาช่วยติวในคืนก่อนสอบนะครับ ขอบคุณมากมายจากใจจริง

ใกล้แล้วครับ ใกล้แร้วววววววววววววววววว ~~~~~

09 มีนาคม 2552

058 | (บ่น) กะบะพันธุ์แกร่ง

(ทำใจนิดนึงนะครับ ช่วงนี้มีแต่เรื่องอยากบ่น)

ผมเบื่อรถกะบะคันใหญ่ๆ ครับ
เข้าใจว่ารถกะบะขนาดยักษ์ในปัจจุับันนี้ มีประโยชน์มากในเรื่องของการขนส่ง เนื่องด้วยขนาดบรรทุกของมัน ทั้งในเรื่องประสิทธิภาพเครื่องยนต์ที่ดูจะดุดัน แรงและเร็วเหนือชั้นเสียเหลือเกิน ตามที่โฆษณาเขาว่าไว้แหละครับ
แต่ต่อไปนี้คือความเห็นส่วนบุคคลเฉพาะผมเอง ผมไม่ชอบด้วยเหตุผลต่างๆ ดังต่อไปนี้ครับ

ความไม่เหมาะกับสถานที่อย่างแรง
ถ้าเอาไปใช้ในที่ๆ มีถนนขนาดใหญ่กว้างขวาง หรือแถบชานเมืองที่ไม่ค่อยมีรถวิ่งแออัดก็โอเคครับ แต่ ตัวเมืองนครสวรรค์ที่ผมอยู่ ภาพรวมค่อนข้างที่จะหนาแน่น เนื่องจากถนนหนทางแคบพอสมควร แถมยังมีหน่วยงาน ร้านค้า บริษัท ฯลฯ กระจุกอยู่ด้วยกันมากมาย เปรียบเทียบกันก็คงพอๆ กับแถวพญาไทละครับ
แต่ไม่รู้ว่าทำไมคนแถวนี้ถึงชอบใช้รถกะบะพันธุ์ยักษ์พวกนี้เหลือเกิน ทั้งๆ ที่รู้ว่า ที่จอดไม่ค่อยจะมี ถนนก็แคบเวลาขับรถสวนกันไปมา ลำพังรถยนต์ทั่วๆ ไป (พวก vios, civic ฯลฯ) ก็ขับขี่กันลำบากเหลือทนแล้ว ยังจะเอารถถึกพวกนี้มาเกะกะถนนอีก เวลาใช้รถใช้ถนนแต่ละที น่าเบื่อครับ

Death Race
ส่วนใหญ่ที่ผมประสบพบเจอมา 90% ของผู้ขับขี่รถกะบะยักษ์ ขับรถแบบไม่ค่อยมีมารยาทเอาเสียเลยครับ
ไม่เข้าใจว่าทำไม อยู่ในตัวเมืองที่รถราหนาแน่น ถนนแคบ ยังจะต้องตะบึงขับกันให้รวดเร็วอีก รถกะบะเนี่ยเวลาขับเร็วๆ มันน่ากลัวนะครับ คนอยู่ในรถอาจจะไม่รู้ แต่ถ้าลองมามองจากด้านนอกแล้วละก็ ความรู้สึกเหมือนคนกำลังจะโดนช้างไล่ทับเลยทีเดียว
โชคดีที่ผมใช้มอเตอร์ไซค์เป็นพาหนะหลัก เลยพอจะซิกแซกหลบหลีกกันได้บ้าง แต่ในช่วงเวลา้รถติดจริงๆ (อย่างเช่นตอนเช้าที่คนไปทำงาน หรือตอนเย็นๆ โรงเรียนเลิก) มันลำบากมากครับ ถึงจะขับอย่างระมัดระวังแล้วก็เถอะ อาจตกเป็นเหยื่ออุบัติเหตุได้ง่ายๆ เลยแหละ

นักซิ่งอารมณ์ดี
ตรงกันข้ามกับพวกข้างบนครับ ถนนข้างหน้ารถแกว่างแสนจะว่างห่างเป็นร้อยๆ เมตร แกขับกันด้วยความเร็วแบบพอตีคู่กับ Honda Dream คุรุสภาได้เพลินๆ หารู้ไม่ว่ารถเล็กรถน้อยที่ตามอยู่ด้านหลังสุดแสนจะหงุดหงิดแทบขาดใจ
(ผมเจอแบบนี้บ่อยเวลาเข้ามาธุระในเมืองแล้วต้องรีบกลับมหาลัยในช่วงเวลางาน)

แต่แบบต่อไปนี้คือสุดๆ ของผมแล้วครับ

ไฟหน้ามหาประลัย
กะบะพันธุ์แกร่งเกือบทุกยี่ห้อมีความสูงมาก ไฟหน้าก็เลยอยู่สูงตามไปด้วย ถ้าใครเคยขับรถนำรถกะบะเปิดไฟหน้าก็คงจะพอรู้ ว่าแสงไฟมันรบกวนการมองกระจกหลังแค่ไหน
ปัญหาของรถยังพอทนครับ แต่ปัญหาของคนบนรถนี่มันแย่กว่า



ผมเจอรถกะบะไม่ทราบที่มาจี้ตูดขณะขับรถกลับจากพิษณุโลกเมื่อตอนค่ำที่ผ่านมานี้เอง

ตอนแรกเข้าใจว่ารีบเลยเบี่ยงหลบให้ แต่ไม่ใช่ครับ แกไม่รีบ...



ผมโดนส่องตั้งแต่แยกโพธิ์ไทรงาม (พิจิตร) จนถึงช่วงเข้าเขต อ.เมืองนครสวรรค์ (แถวๆ วิทยาลัยเกษตรฯ)
และถ้าใครเคยใช้เส้นทางนี้จะรู้ครับ ว่ามันมีไฟถนนเกือบตลอดทาง ไม่ได้มืดบอดขนาดต้องใช้ไฟสูง

นี่คือเรื่องที่เก็บเอามาบ่นในวันนี้ครับ
ไม่ชอบรถก็นิดหน่อย แต่กับคนใช้รถที่มีนิสัยดังที่กล่าวมาแล้วนี้ ผมไม่ชอบมากกว่าหลายเท่าตัว
เพราะรถมันคิดไม่ได้ครับ แต่คนคิดได้ อยู่ที่ว่าจะคิดหรือเปล่า่.

02 มีนาคม 2552

057 | ภาณยักษ์

เมื่อวันเสาร์ (28 ก.พ.) ไปลองของแปลกมาครับ
คือได้ใบปลิวงานสวดภาณยักษ์ของวัดหนึ่งแถวเขาขาด มาเสียบไว้ที่รถมอเตอร์ไซค์เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน
ด้วยความอยากรู้ก็เลยตั้งใจว่าจะไปดู เพราะผมเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่า ไอ้ที่เรียกว่าสวดภาณยักษ์นี่มันเป็นอย่างไร (เคยเห็นในหนังเรื่องจอมขวังเวทย์แค่นั้นเองแหละ)

ทีนี้พอจะไำปเข้าจริงๆ ผมชักไม่แน่ใจครับ เลยลองหาข้อมูลเพิ่มเติมจากอินเตอร์เน็ตดูเพื่อเตรียมความพร้อม ก็ไปเจอรายละเอียดเยอะแยะพอสมควร ขอตัดมาเอาแค่พอเข้าใจนะครับ อยากอ่านแบบละเอียดก็ติดตามที่ Link เอาละกัน

การสวดภาณยักษ์
(ตัดเนื้อหาบางส่วนจากเว็บ http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=15015)

ความหมาย
คำว่า “ภาณ” ตามความหมายในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
ปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ให้ความหมายว่า การบอก การกล่าว การสวด

ดังนั้นเราใช้ว่า “สวดภาณ” จึงเป็นการซ้อนคำ ซ้ำความหมาย
บางทีเรียกว่า “สวดภาณยักษ์”

ประวัติความเป็นมา
การสวดภาณยักษ์ได้เริ่มมีขึ้นในประเทศไทย
เข้าใจว่าตั้งแต่ครั้งสมัยของพ่อขุนรามคำแหง
ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากพระสงฆ์ทางลังกาสายเถรวาท
โดยเริ่มเข้ามาทางด้านจังหวัดนครศรีธรรมราช
จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
เสด็จนครศรีธรรมราชจึงได้นำมาจัดเป็นพิธีประจำปี สำหรับพระนคร
เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่พระนคร และแก่พระเจ้าแผ่นดิน

รูปแบบ
เมื่อเริ่มพิธีกรรม
จะมีพระสงฆ์ที่ยกย่องกันว่าเชี่ยวชาญเชิงอาคมและขมังเวทย์จำนวนสี่รูป
นั่งบนอาสนะประจำทิศทั้งสี่ อีกสี่รูป รวมกันอยู่ด้านหน้าพิธี
ท่องบทสวดและผสมเสียงใส่กัน ฟังคล้ายเสียงประกอบหนังสยองขวัญ
ลี้ลับดุดันน่าขนลุก และออกจะน่ากลัวสำหรับคนจิตอ่อน

หลังการสวดดำเนินไปสักพักก็ถึงช่วงสำคัญ
พระสงฆ์ที่นั่งประจำทิศทั้งสี่เริ่มประพรมน้ำมนต์
ผู้ร่วมพิธีบางคน (ที่เชื่อว่ามีสิ่งของไม่ดีอยู่ในตัว)
จะออกอาการแปลกๆ บางคนร้องไห้โฮ บ้างสั่นเหมือนเจ้าเข้า
และผู้หญิงบางคนก็ออกท่าทางร่ายรำ
และคนเหล่านี้ก็จะได้รับการช่วยเหลือจากหมู่พระสงฆ์เหล่านั้นให้คืนสู่สภาพปกติ

เบื้องหลัง
แต่ในปัจจุบัน
การสวดภาณยักษ์ได้กลายเป็นพุทธพาณิชย์เชิงธุรกิจแล้ว
มีนายหน้ามาขอเช่าสถานที่ของวัด
จัดพิธีสวดฯ กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
มีหน้าม้า ค้าวัตถุมงคล ผ้ายันต์ สารพัด
ซึ่งเป็นธุรกิจที่หากินกับความศรัทธาของชาวพุทธ
ที่ยังไม่เข้าใจถึงพระธรรมคำสอน
ของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง

อ่านถึงช่วงท้ายๆ ของบทความก็ชักจะมองเห็นภาพแล้วละครับว่าไปแล้วจะเจออะไร ผมก็เลยไปแบบไม่ค่อยซีเรียสอะไรมากนัก แล้วก็เตรียมกล้องติดไปด้วย (O2 Zinc ตัวเดิมแหละ)

ตอนแรกพอไปถึงที่วัด เขาให้ผมเอารถมอเตอร์ไซค์ไปจอดในที่ๆ เขาเอาไว้ให้จอด เขาบอกว่า เดี๋ยวพอเริ่มสวด จะเอาสายสิณจน์มาคล้องที่รถด้วย ..ก็ว่ากันไปครับ



ซุ้มหน้าศาลา

บริเวณหน้าศาลาที่จะขึ้นไปฟังสวดก็มีซุ้มให้บูชาเทพเยอะแยะครับ ทั้งพระราหู (เสียตัง 39 บาท) พระพรหม (ตามศรัทธา) และอื่นๆ ..ผมไม่เสียตังครับ ยืนดูดีกว่า

พอขึ้นไปบนศาลาก็จะพบกับด้ายสายสิญจน์โยงเป็นตารางๆ เต็มไปหมดเลยครับ ระหว่างรอเวลาก็มีการถวายสังฆทาน / ทำบุญพระประจำวันเกิด / ทำบุญ ฯลฯ ตามปกติทั่วๆ ไปครับ จนกระทั่งได้เวลาจะเริ่มพิธี พระก็จะบอกให้คนที่จะเข้าพิธี ไปรับขันใส่ของที่จะใช้ทำพิธี แล้วเข้ามานั่งที่เดิม ผมก็ไปครับ..

ตรงนี้หมายถึงค่าพิธี ในใบปลิวบอกไว้ว่าคนละ 99 บาท แต่เอาเข้าจริงให้ไป 100 นึง ไม่ทอนครับ
ขันที่ได้มาก็มีหน้าตาดังนี้ครับ



จริงๆ แล้วจะมีใบโพธิ์เงินโพธิ์ทองอีกอย่างละอัน เขาให้เอาไปเสียบแบงค์ แล้วก็เอาไปปักไว้ที่ซุ้มข้างนอกเพื่อไหว้พระอะไรซักอย่างนี่แหละครับ ตรงนี้ผมก็ปักไม้เปล่าไปเฉยๆ (แล้วก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อย Happy แล้ว)



นี่คือข้างใน Package ที่ได้มา มีอะไรบ้างก็ดูเอาตามนี้ครับ จากซ้ายไปขวา

1. พระพิคเนศวร ให้มาเฉยๆ ครับ
2. ถุงใส่ด้ายสายสิญจน์ กับของ 4 อย่างคือ ข้าวสาร, ข้าวเปลือก, ถั่วเขียว และทราย
3. ยันต์รูปท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวเวสสุวรรณคือใครไปอ่านใน Link เอาครับ)
4. ยันต์เกราะเพชร

ของเหล่านี้เมื่อเสร็จพิธีแล้วพระจะให้เอากลับไปที่บ้าน ยกเว้นขันพลาสติกที่ต้องคืนครับ


พระก็จะให้เราเอาสายสิญจน์ในถุง มัดกับผ้ายันต์รูปยักษ์ แล้วเอาไปแขวนไว้กับสายสิญจน์ด้านบนครับ
ส่วนปลายอีกด้าน เอามาพันกับผ้ายันต์เกราะเพชร แล้วเอามาพันบนหัวครับ



ผมก็นึกว่าจะเริ่มพิธีแล้ว .. แต่ยังหรอกครับ ผมต้องรอไปอีกประมาณเกือบ 30 นาที เพราะทางวัดมีเทียนปลุกเสกมาให้บูชาอีกครับ คู่ละ 99 บาท สรรพคุณก็ ฯลฯ ดีทุกอย่าง เขาจะให้คนบูชาเทียนที่ว่านี้ไป แล้วก็เอาำไปจุดต่อจากเทียนเริ่มพิธีของพระครับ (เทียนพิธีนี้จะหน้าตาเหมือนกับเทียนที่ใช้ในพิธีปลุกเสกจตุคามฯ) ผมนั่งฟังทางวัดพรีเซนต์คุณค่าของเทียนที่ว่านี้เหมือนกับดูรายการ Quantum Television ยังไงยังงั้น



หน้าตาของเทียนวิเศษที่ว่า (มีคนนั่งหน้าผมไปเสียตังบูชามา)



จำนวนคร่าวๆ ของบรรดาผู้ศรัทธาที่บูชาเทียนวิเศษไปครอบครอง

ระหว่างรอผมลงไปดูที่รถ อ๊ะมีคนเอาสายสิญจน์มาพันไว้จริงๆ ด้วย



รถคันนี้มีของดี เพราะเจิม (ท้ายรถคนอื่น) มา 3-4 รอบแล้ว

...ขายเทียนเสร็จก็เริ่มสวดได้ซักทีครับ สวดรอบแรกใช้เวลาประมาณ 20 นาที บทสวดที่พระสวดในรอบแรกนั้นก็เป็นพวกบทสวดทั่วๆ ไปที่เราสวดกันจากหนังสือคู่มือสวดมนต์ทั้งหลายนั่นเองครับ (สำหรับใครที่เคยไปเข้าค่ายธรรมะที่วัดคีรีวงษ์ก็คงนึกออก มันคือบทสวดยาวๆ ที่เราสวดกันตอนทำวัตรเช้า-วัตรเย็นนั่นเองครับ)

ผมนั่งงงอยู่นานว่านี่หรือคือสวดภาณยักษ์ ..มันก็สวดธรรมดาๆ นี่เอง ท่องทำนองก็เรียบราบไม่เห็นเหมือนที่ในเว็บเขาว่าเลย จนสวดเสร็จนั่นแหละครับพระถึงเฉลยว่า ที่สวดไปนั้นเป็นการสวดเพื่อให้คุ้มครองเราจากภัยอันตรายต่างๆ โดยอาศัยยันต์เกราะเพชรที่พันอยู่บนหัวเราครับ ..สรุปคือยังไม่ได้สวดภาณยักษ์ของจริงนั่นแหละ แล้วพระก็จะให้เราพักไปเข้าห้องน้ำ ทานขนม แล้วค่อยขึ้นมาต่อครับ

(จุดสังเกตที่ใครๆ ก็สนใจคือบรรดาคนมีของทั้งหลาย ผมเห็นอยู่ 2-3 คนมีอาการของขึ้นขณะที่พระสวดในรอบแรก ...แต่บทที่พระสวดนี่มันทั่วไปมากเลยนะครับ คือเราก็สามารถสวดเองได้จากหนังสือสวดมนต์ทั่วไป ผมสงสัยว่าคนเหล่านี้จะมีอาการของขึ้นหรือเปล่าเวลาไปทำบุญที่วัดในวันพระ หรือเวลาที่สวดมนต์ไหว้พระอยู่กับบ้าน ...อืมมมมันยังไงกันเนี่ย)

ระหว่างช่วงพัก พระท่านก็จะเทศนาเกี่ยวกับการสวดภาณยักษ์ ซึ่งตรงนี้ต้องมีกัณฑ์เทศน์ด้วยครับ แล้วแต่ศรัทธา -- แต่ถ้าศรัทธา 100 บาทจะได้รับของ 3 อย่าง (ลูกประคำ, สีผึ้ง และพระเครื่อง) สำหรับสีผึ้งนี้มีทีเด็ดครับ ผมได้ยินกับหูเลยเพราะพระท่านบอกเองว่า เวลาเราไปเล่นไพ่ ถ้าอยากกินเงินเขาให้ใช้สีผึ้งนี้ด้วยจะได้เงินแน่นอน ...

ขันกัณฑ์เทศน์เต็มแล้วก็มาเริ่มสวดภาณยักษ์เสียทีครับ คราวนี้ยอมรับเลยว่าตื่นเต้นมาก ของแปลกแต่จริงครับ เสียงสวดของพระนั้นฟังดูน่ากลัวมากๆ ทั้งดุดัน โหยหวน คำราม แล้วก็มีทำนองสูงต่ำแบบแปลกๆ เชื่อแล้วครับว่าคนจิตอ่อนไปฟังก็เหวอได้ง่ายๆ เลย ตอนเริ่มสวดจะมีกาีรจุดประทัดที่ด้านนอกด้วย เลยทำให้ดูน่ากลัว กดดันไปเยอะทีเดียว

ช่วงนี้เองที่หลายๆ คนเริ่มอยู่ไม่สุขแล้วครับ เพราะมีคนที่ออกอาการของขึ้นอยู่หลายคนเลย ก็เลยกลายเป็นที่สนใจจากคนอื่นๆ รวมทั้งผมที่ต้องชะเง้อคอดูรอบๆ ตัวด้วยความตื่นเต้น มีทั้งคนที่ออกท่าทางเป็นลิงเป็นเสือ กางแขนออกรำ แล้วก็มีคนที่ร้องไห้ ร้องกรี๊ดดังลั่นด้วย



จะเห็นชายในกลางภาพกำลังนั่งชันเข่าอยู่ พร้อมทั้งออกอาการสั่นไปทั้งตัวด้วย

ช่วงท้ายผมแทบไม่ได้ถ่ายรูปเลย เพราะมัวแต่ดูคนของขึ้นรอบๆ ตัว ซึ่งก็ตื่นเต้นมากครับ บทสวดภาณยักษ์นี้ใช้เวลาประมาณเกือบ 20 นาที พอสวดเสร็จก็จะมีการครอบครูโดยพระ 2 รูป ซึ่งแล้วแต่ศรัทธาครับ



ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับสวดภาณยักษ์ยังไง

ต้องยอมรับว่า ในขั้นตอนการสวดภาณยักษ์นั้นเป็นอะไรที่ประทับใจมาก เพราะมันแปลกแบบสุดๆ เนื้อหาและท่วงทำนองการสวดของพระนั้น น่าสนใจกว่าพวกของขึ้นเสียอีก ถ้าใครที่ไม่เคยเห็นของจริง มีเวลาก็น่าไปดูนะครับ ไม่ต้องถึงกับไปเข้าพิธีให้เสียตังก็ได้ สาเหตุที่ผมไปก็เพราะอยากรู้อยากเห็นนี่แหละครับ และด้วยเพราะความไม่รู้ไม่เคย ก็เลยทำให้เสียตังไปพอสมควรอยู่ ..สรุปแล้ว ทำแล้วจะดีหรือไม่ดี ชาวพุทธอย่างเราใช้สติพิจารณาก่อนจะดีที่สุดครับ



ของแถม (ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของผู้อ่าน)
หลังจากออกมาจากวัด แวะทานข้าวมีคนขายล็อตเตอรีมาชวนซื้อก็ไม่ซื้อ (ปกติก็ไม่เคยซื้อ) วันนี้หวยออกเลขท้ายสองตัวเป็นป้ายทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์ผม แม่บอกเห็นมั้ยเอารถไปฟังสวดแล้วออกเลขรถเลย ฮากันทั้งบ้าน 55555+