หน้าเว็บ

12 พฤศจิกายน 2557

197 | จัดเกมบน 3DS อีกแล้วอีกแล้ว

ตอนที่ 1 และ ตอนที่ 2 ครับ

Harvest Moon 3D: A New Beginning



เกมปลูกผักระดับตำนาน เคยเล่นภาคนึงใน PSP ก็สนุกดีครับ ภาคนี้ก็ไม่ค่อยต่างกันมาก มีอะไรๆ ให้ทำเยอะแยะหมดในแต่ละวันจนเวลาไม่ค่อยจะพอ
ข้อดี : เกมสนุกตามแนวปลูกผัก
ข้อเสีย : ภาพไม่สวย เฟรมเรตตก

Etrian Odyssey Untold: The Millennium Girl



แผ่นนี้ได้มาจาก Play-Asia ตอนลดราคา เป็นเกมแนว Dungeon RPG ที่เดินไปเดินมาใน Dungeon แต่ละชั้น เนื้อเรื่องค่อนข้างยาวมากและมีจำนวนชั้นเยอะเหลือเกิน แต่โดยรวมก็ถือเป็นเกมที่สนุกมากครับ มักจะหยิบเอามาเล่นบ่อยๆ เวลาเบื่อเกมอื่น
ข้อดี : เกมสนุก เล่นไม่ยาก ความยาวคุ้มราคามาก
ข้อเสีย : กราฟิกออกแนวโบราณไปนิดนึง ฉากต่อสู้คล้ายๆ SMT IV

Samurai Warriors Chronicle



ได้มาจาก Play-Asia ตอนลดราคาเช่นกัน เกม Action แนว Musou ที่คุ้นเคยดี เป็นเกมที่เล่นได้เรื่อยๆ และสนุกตามสไตล์ของเขาแหละครับ เวลาตีทหารราบกระจัดกระจายทีนี่โคตรสะใจ
ข้อดี : ฉากต่อสู้มันเวอร์แบบ Musou ตัวละครก็ออกแบบได้งดงาม
ข้อเสีย : เกมมันออกมานานแล้วระบบอะไรๆ ก็ดูโบราณไปบ้าง

Metal Gear Solid 3D: Snake Eater



หลงคำชมในเน็ตว่าเป็น MGS ภาคที่สนุกมากเลยหลวงตัวซื้อมาตอน Play-Asia ลดราคา (แบบถูกโคตรๆ) แล้วก็พบว่าเป็นเกมที่เสียดายเงินอย่างยิ่ง คือมันไม่ใช่แนวเลยสักนิดอะครับ เล่นมาเกือบ 2 ชั่วโมงยังไม่พ้นฉากแรกแถมอึดอัดกับระบบการเล่นของมันแบบสุดๆ ถืงว่าทำไม Play-Asia ถึงเอามาลดบ่อยมากๆ
ข้อดี : ยังหาไม่เจอ
ข้อเสีย : เกมไม่สนุกเลย (คหสต.) ซื้อมาเล่นแล้วเสียดายตัง

Street Fighter IV 3D Edition



เป็นเกมในตำนานอีกเกมนึงที่เล่นมาตั้งแต่เด็กๆ สำหรับภาคนี้เคยเล่นใน iOS มาแล้วเลยค่อนข้างคุ้นเคยอยู่ แถมเกมก็ทำระบบให้ออก Combo ง่ายขึ้นไปอีก ภาพตอนเปิด 3D ก็สวยงามจนน้ำลายไหล เอาไว้เล่นได้ยาวๆ ไม่เบื่อครับเกมนี้
ข้อดี : ระดับที่คนเล่น Street Fighter รู้กันดี
ข้อเสีย : เวลาเปิด 3D ภาพมันชอบหลุดโฟกัสเพราะเราต้องขยับเครื่องไปมาบ่อย

Paper Mario Sticker Star



อันนี้ได้มาในราคาที่ถูกมากๆ จาก Play-Asia แล้วก็สนุกสมคำร่ำลือจริงๆ ภาพน่ารัก เกมเพลย์แบบ JRPG เข้าใจไม่ยากนัก เก็บไว้เล่นยาวๆ เพราะเสียดายไม่อยากรีบจบเร็ว 555555+
ข้อดี : เกมเพลย์สนุก ภาพสวยมาก
ข้อเสีย : บางฉากก็ผ่านยากไปหน่อย

Super Mario 3D Land



อันนี้สนุกจริงสมราคา Mario เลย ภาพ 3D ตื่นตาตื่นใจมาก ได้มาจาก Play-Asia แบบโคตรเซอไพรส์เพราะปกติไม่ค่อยเอา Mario มาลดเท่าไรนัก ซื้อมาแล้วคุ้มสุดยอดจริงๆ
ข้อดี : เกมสนุกตามมาตรฐาน Mario ภาพ 3D โคตรอลังการ
ข้อเสีย : ยังหาไม่เจอ

New Super Mario Bros.2



ตรงข้ามกับอันข้างบนเลย สำหรับผมแ้วผมว่ามันยากมากๆ เลย การควบคุมตัวละครก็ยาก ฉากหลายๆ ฉากก็ผ่านยาก ตอนนี้เลยเล่นได้ไม่ถึงไหนเลย เสียดายจริงๆ ที่ตัวเองไม่ถนัดแนวนี้ทั้งที่รู้ว่ามันเป็นเกมที่ดีมากๆๆ
ข้อดี : คุณภาพเกมตามมาตรฐาน Mario
ข้อเสีย : สำหรับผมมันยากเกินไป T_T

The Legend of Zelda: A Link Between Worlds



สนุกมาก สนุกจริงๆ เป็นเกมที่เล่นรวดเดียว 4 วันจบแล้วยังรู้สึกเสียดายอยากกลับมาเล่นใหม่ เป็นเกมที่สร้างต่อจากภาค A Link to The Past เมื่อสมัยโน้น (แผนที่เดียวกัน) ส่วนตัวเป็นเกม Zelda เกมที่สองในชีวิตที่ได้เล่น รู้สึกประทับใจกับมันมากจริงๆ
ข้อดี : เยอะแยะไปหมดจนไม่รู้จะยกย่องมันยังไงดี
ข้อเสีย : อยากให้เกมยาวกว่านี้อีกหน่อย 20 ชม.มันน้อยไปง่ะ

Bravely Default



อีกหนึ่งเกมดังที่กำลังจะมีภาคต่อ เกมมาแนว Final Fantasy แบบไม่ต้องพิสูจน์เลย แต่ก็สนุกและสมบูรณ์แบบตามคุณภาพระดับ Square Enix แต่เกมนี้ยังเล่นไม่จบเพราะพอมาถึงช่วงครึ่งหลังของเกมชักรู้สึกเซ็งกับเนื้อเรื่อง (ขออนุญาตไม่ Spoiled) ก็เลยพักไว้ก่อน
ข้อดี : เป็นเกม JRPG ที่สมบูรณ์แบบมากๆ
ข้อเสีย : เนื้อเรื่องช่วงครึ่งหลังทำเอาเซ็งจนขี้เกียจเล่นต่อ

Donkey Kong Country Returns 3D



เกมนี้ได้ Redeem มาฟรีจาก eShop ครับ ก็เป็นเกมสไตล์คล้ายๆ Mario ที่ผมแพ้ทางอีกเช่นเคย ก็เลยต้องเก็บไว้ก่อน T_T
ข้อดี : ภาพสวย เกมเพลย์เข้าใจง่าย
ข้อเสีย : มันยากไปสำหรับผมอีกแล้ว

Tomodachi Life



เกมที่โด่งดังและขายดีมากในเวอร์ชั่น JP เรารับบทเป็นผู้ดูแลหอพักที่มีแต่พวกตัวละครที่เราสร้างเอง แต่ละตัวก็มีนิสัยแตกต่างกัน และก็จะมีคำร้องขอความช่วยเหลือมาเรื่อยๆ เป็นเกมที่เล่นได้เพลินๆ ยาวๆ ไม่มีตอนจบครับ เกมนี้จะเอามาเล่นบ่อยๆ เล่นทีนึงก็ 2-3 ชม.
ข้อดี : รูปแบบเกมที่สบายๆ แต่มีอะไรให้ทำเยอะ เล่นแล้วไม่เครียด
ข้อเสีย : ยังหาไม่เจอ

Disney Magical World



เกมแนว Animal Crossing ผสม Action RPG ที่มี Theme เป็น Disney เกมนี้ผมตัดสินใจซื้อเพราะความฝันในวัยเด็กล้วนๆ เลยครับ ตัวละครของเราต้องทำอะไรเยอะแยะไปหมดทั้งปลูกผัก, เปิดร้านอาหาร, สร้างของ, ทำชุด แถมยังต้องไปทำเควสอีก เล่นกันได้อีกยาวนานเลยครับ
ข้อดี : เกมเพลย์หลากหลายมาก แถมโลกของ Disney ก็โดนใจเด็กหนวดอย่างผมอยู่แล้ว :)
ข้อเสีย : ยังหาไม่เจอ

One Piece: Unlimited World R



เกมจาก One Piece ที่มีเนื้อเรื่องใหม่เฉพาะในเกมนี้เลย แนวการเล่นคล้ายๆ เกมข้างบนแต่จะเน้น Action มากกว่า เราจะเก็บเลเวลไปด้วยระหว่างที่ผ่านเนื้อเรื่อง ส่วนเวลาว่างก็ต้องมาสร้างเมือง อัพเกรดร้านค้า ปลูกผักนิดหน่อย แล้วก็รับเควสจากชาวบ้านอะไรทำนองนี้ เป็นเกมที่เล่นสนุกดีครับแต่ผมเก็บเอาไว้ก่อนเพราะยังอ่าน One Piece ไม่ถึงตอนล่าสุด บางตัวละครโผล่มานี่ไม่เคยเห็นเลยยังงงๆ ไปบ้าง เลยกะว่าให้อ่านการ์ตูนมาทันก่อนแล้วค่อยเอามาเล่นต่อ
ข้อดี : เกมเพลย์สนุก มีอะไรให้ทำเรื่อยๆ ฉาก Action ในเกมก็เจ๋งดี
ข้อเสีย : ตัวหนังสือในเกมเล็กอ่านยาก ไอเท็มก็ไม่ค่อยมีคำอธิบายว่าหาจากไหนหน้าตาเป็นไง

Fantasy Life



เกมนี้ดูดเวลาผมไปกว่า 20 ชม.แล้ว ผมยังเล่นไปได้ไม่ถึง 50% ของเนื้อเรื่องเลยครับ เป็นเกมแนวคล้ายๆ 2 เกมด้านบนแต่ว่า Open กว่ามาก เนื้อหาเหมือนกับจำลองเราไปใช้ชีวิตอยู่ในโลกของ RPG ที่คุ้นเคยกันทั่วไป ตัวละครนึงเปลี่ยนอาชีพได้ 12 อาชีพ มีทั้งแนวบู๊, แนวหาของ และแนวคราฟต์ของ เล่นสลับไปมาบางทีก็งงๆ นะแต่ก็ถือว่ามันมีอะไรให้ทำเยอะมากเหลือเกิน ทั้งเควสหลักของเนื้อเรื่องและเควสชาวบ้าน เอาเป็นว่าเกมนี้คุ้มราคาสุดยอดแล้วครับเมื่อเทียบกับเวลาในการเล่น
ข้อดี : มีอะไรให้ทำหลากหลายมากๆ ฉากต่อสู้ในเกมก็ทำมาเข้าใจง่ายดี นึกถึงเกมอย่าง Ragnarok สมัยก่อน แถมความยาวเกมนี่มหาศาล เล่นกันเป็นร้อยชั่วโมงน่าจะอยู่
ข้อเสีย : บทสนทนาบางทีก็เยอะไปจนน่ารำคาญ เควสในเนื้อเรื่องหลักก็ไม่ค่อยมีอะไรเลยนอกจากคุยๆๆๆ แถม NPC บางตัวดันใช้ภาษา Slang อ่านไม่รู้เรื่องอีก

30 กันยายน 2557

195 | อัพเครื่อง + เคลม Magic Mouse

ในช่วงเวลาใกล้เช้าที่ผมกำลังจะเข้านอนนี้ จู่ๆ ก็อยากเขียน Blog ขึ้นมา แต่ด้วยความที่เริ่มง่วงเลยไม่อยากเล่าเรื่องยาวๆ มากนัก (ทั้งๆ ที่มีเรื่องยาวๆ รอไว้เล่าอยู่เพียบ) เลยเอาเรื่องสั้นๆ ที่ประทับใจมากมายมาเล่าก่อนละกัน

เรื่องมีอยู่ว่าตอนที่ซื้อ Macbook Pro ตัวนี้มานั้นได้ตัดสินใจซื้อ Magic Mouse มาด้วยเพราะเห็นจากคำร่ำลือมากมาย + ไปลองเล่นเองที่ iStudio แล้วประทับใจมากๆ คิดว่าโอ้วววว เจ้าสิ่งนี่แหละที่เกิดมาคู่กับ Mac อย่างแท้จริง ก็หวดมาเลยครับ

ไปๆ มาๆ เจ้าเมาส์แพงโคตรนี่ก็เริ่มออกลาย เริ่มจากอาการหนักสุดคือ ใช้ๆ ไปประมาณ 3 ชั่วโมงขึ้นไป Bluetooth จะตัดการเชื่อมต่อทันที แล้วต่อใหม่ไม่ได้ด้วยนะ ต้อง Restart เครื่องถึงจะใช้ได้ปกติ (อาการนี้ยังไม่พบจาก Windows 8.1 ที่ลงผ่าน Bootcamp หรืออาจเป็นเพราะว่าใช้งานทางฝั่ง Windows น้อยกว่า) ก็ลองหาในเน็ตว่ามีใครเจออาการเดียวกับเราไหม...ก็ไม่มี

จนวันนึงว่างๆ (จริงๆ ก็ไม่ใช่วันว่างหรอก คือไปซื้อ iPad Mini ที่ร้านเดิมแหละ วันหลังนึกได้จะเล่าอีกที) ก็เลยถามน้องพนักงานว่าอาการแบบนี้มันปกติหรือเปล่า น้องบอกว่าพี่เอามาเคลมเหอะ ของอยู่ในประกันไม่ต้องคิดไรมาก เราก็นะ...ซื้อมาไม่นานต้องเคลมแล้วเหรอวะเนี่ย ก็ยังดึงเกมไว้เรื่อยๆ ไม่อยากเอาไปเคลม จนวันนึงตังเหลือ (พูดเหมือนรวย) เลยอยากได้ Bluetooth Handfree สักอัน ก็เลยไปซื้อที่ร้านเดิมนี่แหละ แล้วก็พลอยถือ Magic Mouse ไปด้วย ไปถึงก็ยื่นเลยครับ อ่ะน้อง เคลมจ้ะ

น้องพนักงานบอกว่าพี่ ตอนนี้ ComSeven เปิดศูนย์รับเคลมสินค้าของ Apple โดยเฉพาะแล้วนะ ชื่อร้าน iCare อยู่ฝั่งตรงข้ามร้านนี่เอง (ในใจนึกแว้บขึ้นมาเลยว่าเห้ย! ของมึงเสียง่ายเสียบ่อยขนาดต้องเปิดศูนย์เคลมเลยเรอะ) แต่ก็เอาไปส่งเคลมอย่างว่าง่ายอะนะ

พนักงาน iCare บอกว่า ขอรับของไว้เช็คก่อนนะครับ ประมาณ 2 อาทิตย์จะแจ้งกลับไปว่าต้องซ่อมหรือเปลี่ยนอะไรยังไง (มึงเช็คนานไปมั้ย 2 อาทิตย์) ชั่วโมงนั้นทำไงละครับ ยอมๆ ไปเหอะ

3 อาทิตย์ผ่านไป นานจนลืมไปแล้ว ก็เลยโทรไปทวงถามว่าเช็คเสร็จยังละนั่น น้องพนักงานบอกว่า โอเคพี่ คือส่งไปศูนย์แล้ว (ศูนย์ไหนอีก?) ตอนนี้ของเคลมส่งกลับมาแล้ว แต่ว่าติดทางกงสุลอยู่ ของเคลมล็อตนี้ติดพร้อมกันหมด...

ฟังรอบแรกถึงกับอึ้งว่าเห้ย กงสุลไหนวะ ส่งไปต่างประเทศเลยเหรอ

ผ่านมาได้ 2-3 วัน ทาง iCare ก็โทรมาบอกครับว่าของมาแล้ว แต่ด้วยความอึนก็เลยปล่อยไว้อีกเกือบสัปดาห์กว่าจะไปเอาของ ปรากฏว่า...

แกเปลี่ยนเมาส์ตัวใหม่ให้เลยครับ ห่อแรพมาแบบเนียนๆ เลย สติกเกอร์ในตัวเมาส์ยังแปะอยู่เลยด้วยซ้ำ ทาง iCare บอกว่า เช็คอาการแล้ว (แต่ตูว่าไม่ได้เช็คไรเท่าไหร่หรอก) ส่งศูนย์ ศูนย์เปลี่ยนตัวใหม่ให้เลยครับ ไม่ซงไม่ซ่อมไรละ

จากความรู้เท่าที่มี ศูนย์ Apple ที่ใกล้ที่สุดคือสิงคโปร์ (อ.อ้อแฟนอาจารย์ที่ปรึกษาเคยส่ง Macbook Air ไปเปลี่ยน SSD ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก) แสดงว่า Magic Mouse ตัวนี้มันคือตัวใหม่เอี่ยมจากสิงคโปร์เลยงั้นฤา ???

จนเอากลับไป Test นั่นแหละครับถึงรู้ว่ามันตัวใหม่จริงๆ Serial Number ใหม่เลย Mac OS X ต้อง Pair กันใหม่เลยละ สรุปว่า Magic Mouse ตัวเก่า (ซึ่งตกลงก็ไม่รู้สาเหตุว่าเป็นห่าไร) ก็โบกมืออำลาไปอย่างง่ายดายพร้อมกับส่งตัวใหม่มาทำหน้าที่แทนแบบฟรีๆ O_O



อันนี้คือ Magic Mouse ตัวใหม่จ้า

ที่น่ารักมากคือ แบตคู่ตัวตอนซื้อมามันหมดไปแล้ว เลยซื้อแบต Panasonic Evola จาก 7-11 มาใส่แทน ซึ่ง iCare ก็ถอดเก็บไว้ให้เรียบร้อย ตอนส่งคืนก็คืนมาด้วยแหละ :)

ตั้งแต่เข้าวงการคอมมานี่บอกเลยว่าดีลเลอร์ที่เคลมของได้ถูกใจที่สุดคงไม่พ้น DCOM (ที่ล้มหายตายจากไปแล้ว) ได้อย่างแน่นอน แบบว่าถือ Harddisk เน่าเฟะขนาดไหนไปส่ง ไม่เกิน 10 นาทีก็ได้ลูกใหม่มาใช้แบบเนียนๆ (ทั้งที่ไอ้ลูกที่ส่งเคลมตูอาจจะไปขโมยมาจากไหนก็ได้) แต่วันนี้คงต้องขอยก Apple (และ iCare ในฐานะผู้ดูแลการเคลม) ให้อยู่ในดวงใจเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งเจ้าแล้วละ

(อนึ่ง ขอไม่กล่าวยกย่องถึง Synnex สุดยอดบริษัทนักเคลมอีกเจ้า เพราะทั้งๆ ที่ศูนย์ก็อยู่ในจังหวัด และสินค้าของมึงก็เคลมกันโคตรบ่อยมากๆ โดยเฉพาะ Kingston แต่มึงก็ไม่ Stock ของเคลมไว้เลยสักครั้ง เคลมตั้งแต่ Micro SD ยัน External HDD รอ 2 อาทิตย์ตลอด มันนานไปปะวะ นี่ยังดีที่เคลมแค่ Accessories ถ้า HDD ตูเสียแล้วต้องรอขนาดนี้ตูไม่ตกงานเลยเรอะ)

เอิ่ม...สรุปคือเล่ามาทั้งหมดมีแต่เรื่องเคลมของ งั้นขอเล่าส่งท้ายนิดนึงละกัน เนื่องในโอกาสที่ช่วงนี้เงินก้นถุงเฟ้อมาก ข้าพเจ้าเลยจัดการผ่าตัด Macbook Pro ซะใหม่แบบโหดๆ ฉลองกันให้หมดตูดกันไปเลยละกันครับพี่น้อง

เริ่มจากอัพ RAM ก่อนเลย จากคู่ตัว 4 GB ไปซื้อ RAM จาก Kingston มาใหม่แบบโหดๆ 2 ตัว รวม 16 GB !!!



RAM Notebook ทั่วไปใช้กับ Macbook Pro ที่เป็น Intel Architecture ได้นะจ๊ะ (ดูรุ่นและ Bus ที่รองรับด้วย)

งาน RAM นี่หมดค่าเสียหายไปประมาณ 5,300 บาท ก็คือว่าคุ้มละสำหรับการที่จะไม่ต้อง Upgrade ไปอีกอย่างน้อย 2-3 ปี

วันรุ่งขึ้นด้วยความที่ร้อน (อยากใช้) เงิน ก็ตามไปจัดอีกอย่างเลย SSD !!! งานนี้เช็คราคาและสถานที่จำหน่ายแล้ว ได้ตัวเลือกที่เหมาะที่สุดคือ 256 GB ของ Plexter (เขาว่ากันว่าใช้ชิปของ Toshiba ซึ่งแค่ได้ยินยี่ห้อก็แทบจะกราบละ) ถึงจะฟังดูโนเนมแต่ก็ยังน่าคบกว่า Intel และ Samsung เป็นไหนๆ



Plexter SSD 256 GB รุ่นห่าไรไม่รู้ละ ไม่ซีเรียส

อันว่า SSD นี้โดนค่าเสียหายไปอีก 5,550 บาท ทั้งสองอันซื้อจาก JIB เหตุผลเพราะหาราคาง่าย + เคลมง่าย (สาขาเยอะ)

อนึ่ง การซึ้ออุปกรณ์ IT ของข้าพเจ้านั้นพิจารณาง่ายๆ แค่ 3 อย่างคือ
1. สเป็คและราคาตรงกับที่ตั้งเป้าไว้
2. หาซื้อได้ในพื้นที่ใกล้เคียง (อยู่ต่างจังหวัดก็งี้แหละ ลำบากกันหน่อย)
3. มีของ (อันนี้สำคัญมาก ถ้าไม่มีของหรือต้องรอสั่งนี่ไม่เอาเลย วัยรุ่นใจฮ้อน)

ดังนั้นหากนัก Benchmark มาอ่านแล้วรู้สึกขัดใจก็ต้องขออภัยนะครับ ข้าพเจ้าใช้คอมทำงาน + เล่นเน็ต + ดูหนังฟังเพลง ไม่ได้เอาไว้เล่นเกมสเป็คเทพหรือไว้หาค่าทดสอบสูงๆ :)

สรุปคือเสียเงินเพิ่มไปหมื่นกว่า แต่สิ่งที่ได้มาคือความเร็วแบบโคตรๆ คือ Bottleneck Problem ตัดไปได้เลย (เป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้สึกว่าตูเอาชนะปัญหานี้ได้แว้ว) อีกอย่างคือไม่ค่อยกังวลแล้วเวลาแบก Notebook ไปทำงานนอกสถานที่แล้วกลัวมันจะสะเทือนไปถึง HDD อันนี้ขอบอกว่าโคตรโล่งมากๆ เพราะตั้งแต่ใช้ Notebook มาตั้งกะปี 46 ก็กังวลและพลาดเรื่องนี้มาตลอด ตอนนี้สบายใจมากแล้วละ

ณ ชั่วโมงนี้ขอบอกเลยว่ารัก Macbook Pro ตัวนี้มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ รู้สึกว่าเปิดคอมแล้วมีความสุขมากจริงๆ ความเร็ว + ความสบายใจ มันทำให้การทำงานเราไหลลื่นขึ้นจริงๆ นะเออ

OK ตอนแรกกะจะแพล่มสั้นๆ ตอนนี้กลายเป็นยาวเฟื้อยเลย พอละ เรื่องยาวๆ (ยาวๆ จริงๆ นะเฮ้ย) ไว้เล่าต่อวันหลังละกัน นอนละ :)



05 กรกฎาคม 2557

194 | ข้าวซอย Instant

เมื่อวานไปได้อาหารแปลก (ที่มีมานานแล้ว) จาก Tesco Lotus ครับ


มันคือ "ข้าวซอยไก่" แบบปรุงสำเร็จ ของโรซ่าครับ ราคาประมาณ 50 บาทมั้ง

แกะกล่องออกมาก็จะเจอ 2 อย่างคือ ถาดใส่เส้นปิดด้วยฟอยล์และฝาพลาสติกกันกระเด็นเวลาเวฟ กับน้ำแกงอยู่ในซองฟอยล์ครับ ข้อเสียสำคัญคือไม่ให้อุปกรณ์รับประทานมาด้วยนี่สิ


ขั้นตอนแรกก็แกะฟอยล์ที่ปิดถาดออก ต้องแกะให้หมดก่อนเข้าไมโครเวฟนะครับ อันตรายๆๆๆ
เส้นข้าวซอย ทำมาได้ดูดีนะ เส้นมันจะเปียกๆ นิดหน่อยไม่ได้แห้งเหมือนมาม่านะ


ต่อมาก็เทน้ำแกงลงไปให้ทั่วๆ ครับ สังเกตว่ามีเนื้อไก่มาให้บ้างเล็กน้อยแต่ชิ้นเล็กมากๆ


เทเสร็จก็เอาฝาพลาสติกปิดเหมือนเดิม จะไม่ปิดก็ได้นะครับแต่รับรองว่าน้ำแกงกระเด็นแน่ๆ


เอาเข้าเวฟตามเวลาข้างกล่องเลยครับ ของผม 800w ก็ 1.30 นาที ตอนเวฟได้ยินเสียงโป๊ะเป๊ะชัดเจนเลย
ออกมาก็ร้อนจี๋เลยครับ (ถาดมันบางมาก บางกว่า ezyGo ของ 7-11 อีก)


หน้าตาดูดีทีเดียว


ในแง่รสชาติ ถือว่าโอเคครับ น้ำแกงค่อนข้างข้น รสชาติเข้มข้น เผ็ดกำลังดีไม่ต้องหาน้ำพริกเผาเติมเพิ่ม ส่วนเส้นก็อร่อยดีครับ แต่ก็คงเอาไปเทียบกับข้าวซอยที่เขาทำขายสดๆ ไม่ได้หรอกนะ เอาเป็นว่าลักษณะเส้นสัมผัสคล้ายๆ มาม่าที่กำลังจะอึด แต่หนึบกว่านิดหน่อยประมาณนั้น

ส่วนเรื่องปริมาณนี่ น้อยมากครับ ถ้าเด็กหรือสาวๆ กินก็คงอิ่มพอดี แต่สำหรับผู้ชายแล้วถือว่าน้อยไปครับ แต่ก็เอานะ เมนูเรียบง่าย เอาไว้กินตอนฉุกเฉินก็พอไหวอยู่ :)

21 มิถุนายน 2557

193 | ร้านกาแฟ?

ร้านกาแฟมีอะไรดี?
- มีกาแฟขาย
- มีเน็ตให้เล่น
- มีแอร์
- มีคนแจ่มๆ

ทำไมต้องมาร้านกาแฟ?
- มากินกาแฟ
- มาเล่นเน็ต
- มาตากแอร์
- มาดูคนแจ่มๆ

ทำไมกาแฟในร้านกาแฟต้องแพง?
- กาแฟมันแพงเอง
- บวกค่าเน็ต
- บวกค่าแอร์
- บวกค่าคนแจ่มๆ (?)

ทำไมต้องมานั่งทำงานในร้านกาแฟ?
- ได้กินกาแฟ
- ได้ใช้เน็ต
- ได้ตากแอร์
- ได้โชว์คนแจ่มๆ

...ตูกำลังเขียนอะไรอยู่? 55555555+

19 มิถุนายน 2557

192 | True Love - Coldplay (Ghost Stories)




ในอัลบั้มใหม่ของ Coldplay ที่มีชื่ออัลบั้มและปกที่โคตรจะเท่ว่า "Ghost Stories" ผมกลับรู้สึกเฉยๆ กับเพลงโปรโมทอย่าง Magic และ A Sky Full of Stars มาก โดยเฉพาะ Midnight นี่ยิ่งแล้วใหญ่เลย (ฟังตอนขับรถอาจมีตาปรือ แถมมีสำเนียงหากินที่มักจะได้ยินในหลายๆ เพลงของ Coldplay อีก) แต่เพลงที่ติดหูผมตั้งแต่แรกเลยก็คือ Always in my Head ครับ (Track 1) คือเพลงมันเท่มากกกกกกกกก เท่แบบนี้แหละที่อยากฟังมานาน แต่พอฟังมาเรื่อยๆ ก็เจอเพลงที่ทำให้ผมชะงักครับ

True Love (Track 4)

คือตอนฟังก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก แต่อาศัยสัมผัสจากอารมณ์ของดนตรีกับเสียงร้องของ Chris Martin แล้วก็ทำให้รู้สึกว่าเพลงมันน่าจะหวานนะ เหมือนบอกรักกันอะ รักแท้ๆ อะไรประมาณนี้นะจ๊ะ บลาๆๆๆ

แต่จริงๆ ก็มาคิดว่าเสียงของ Martin นี่เชื่อไม่ค่อยได้เท่าไร บางเพลงเนื้อหาเศร้าดันร้องซะรื่นเริง บางเพลงเนื้อหาบวกแต่แกร้องให้เรารู้สึกลบก็มี ด้วยความข้องใจเลยลองหา Lyric มาดู ปรากฏว่า....น้ำตาร่วงเลย

For a second, I was in control
I had it once, I lost it though
And all along the fire below would rise

And I wish you could have let me know
What's really going on below
I've lost you now, you let me go
But one last time

Tell me you love me
If you don't then lie
Lie to me

Remember once upon a time
When I was yours and you were blind
The fire would sparkle in your eyes
And mine

So tell me you love me
And if you don't then lie
Lie to me

Just tell me you love me
If you don't then lie
Lie to me
If you don't then lie
Lie to me

And call it true
Call it true love
Call it true
Call it true love


แม่เจ้า....





ป.ล.เพลงที่เหลือก็ชอบนะ รู้สึกว่าชอบ Coldplay อัลบั้มนี้ที่สุดละ ในขณะที่อัลบั้มใหม่ของ Linkin Park (The Hunting Party) ที่เพิ่งออกมาใกล้ๆ กันนี่...เซ็งมาก

07 มิถุนายน 2557

191 | My Macbook Pro !!! (Cont.)

ตอนที่แล้ว : 190 | My Macbook Pro !!!

เขียนต่อกันเลยครับ ขณะนี้เวลา 9.11 น.ปรินท์งานที่จะให้อาจารย์ดูบ่ายนี้เรียบร้อยแล้ว จะนอนตอนนี้ก็กลัวไม่ตื่นเลยต้องหาอะไรทำรอเวลาไปก่อนครับ (แต่คงไม่ใช่งานเพราะสมองไม่ไปแล้วจ้า)

มาเล่าถึงประสบการณ์ใช้งาน Macbook Pro กันต่อครับ ขออนุญาตแบ่งเป็นส่วนๆ เพื่อความเข้าใจง่ายและกันคนเขียนมึน (เพราะความง่วง)

Hardware

เคยอ่านจากเว็บไหนจำไม่ได้ละเขาบอกว่า ทุกคนที่ซื้อ Macbook จะมีความประทับใจแรกเมื่อตอนแกะกล่องก็คือ "กลิ่น" ครับ เห็นว่าเป็นกลิ่นของโลหะ กลิ่นของใหม่ กลิ่นกล่อง กลิ่นพลาสติกและอะไรอื่นๆ ในกล่องรวมกัน เป็นกลิ่นที่ประทับใจสุดๆ ซึ่งผม "พลาด" ครับ พนักงานมันแกะกล่องให้ในร้าน ดมไม่ทัน ก็เลยไม่รู้ว่าไอ้กลิ่นที่ว่ามันเป็นยังไง

สัมผัสต่อมาคือ "ไฟดูด" ครับ ตัวเครื่องมันโลหะเกือบหมดเลย เท้าเปล่าแตะพื้นจับยังไงก็ดูด เวลาใช้งานนี่ต้องระวังพอสมควรครับ ดูดบ่อยๆ ก็ใช่จะดี

แต่สิ่งที่ประทับใจมากคือ ความเป็นโลหะของเครื่องครับ มันดูแข็งแรงทนทานมาก มีเหลี่ยมมีมุมที่คมๆ แต่ก็ทำให้รู้สึกถึงความแกร่งของมัน ส่วนจอนี่ก็สวยงามภาพชัดสมคำร่ำลือครับ (ถึงจะไม่ใช่ Retina Display ก็เหอะ) อีกจุดที่พอใจมากๆ คือแป้นพิมพ์ครับ มันให้สัมผัสที่พอดีมากๆ ไม่แข็งไม่ยวบเกินไป พิมพ์แล้วสบายนิ้ว แถมมีไฟด้วยนะ (จริงๆ ยี่ห้ออื่นก็มีแต่ผมยังไม่เคยใช้)

ส่วนพวกสายไฟนี่เฉยๆ ครับ เหมือนสายชาร์ตของ iPhone, iPad แปลกตรงที่ Adapter มันไม่ใหญ่มากเท่าไร พกพาง่ายดีครับ

Port ที่ให้มาของรุ่นนี้ก็มี ช่อง LAN 1 ช่อง, Thunderbolt 1 ช่อง, Firewire 1 ช่อง (ยังไม่รู้จะเอาไปเสียบกับอะไร), SDXC สำหรับเสียบการ์ดจากกล้อง 1 ช่อง (ผมไม่มีกล้องอันนี้เลยเฉยๆ) แล้วก็ USB 3 ให้มา 2 ช่อง อันนี้แอบดีใจเพราะตอนซื้อไม่ได้ดูสเปคก็เลยคิดว่าคงเป็น USB 2.0 แต่พอรู้ว่าเป็น 3 ก็พอใจมาก นอกจากนี้ก็เป็นช่องเสียบสายชาร์ตที่ทำเป็นแม่เหล็ก (Surface เอาไปทำมั่งแต่เสียบยากกว่ามาก) แล้วก็ DVD Drive (รุ่น Retina Display ไม่มีแล้วนะ)

ส่วนแบตที่เคลมว่าอยู่ได้ 7 ชม.นั่นเอาจริงๆ ไม่ถึงหรอกครับ (ในเว็บ Apple บอกว่า 7 ชม.นี่คือเล่นเน็ตผ่าน Wireless สถานเดียวเท่านั้น) แต่ใช้งานทั่วไปเช่นทำงานไปเปิดเพลงไปก็ประมาณ 4 ชม.กว่าครับ ถ้าไม่เปิดเพลง + ปิดไฟ Keyboard + ลด Brightness หน้าจอนี่ดึงไปถึง 6 ชม.ได้อยู่ ส่วนตอนที่สลับมาใช้ Windows 8.1 Pro นี่ 6 ชม.กว่าสบายๆ เลยครับ (Windows 8.1 ขึ้นชื่อเรื่องประหยัดพลังงานอยู่แล้ว)

ไอ้ที่ฮาคือมันมีปุ่มให้กดดูปริมาณไฟในแบตด้วยครับ (เหมือนพวกแบตสำรองมือถือ) อันนี้ชอบสุดๆ แบบว่ามันสะดวกมาก กดดูได้ทั้งตอนเปิดหรือปิดเครื่องเลย เป็นอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่เยี่ยมจริงๆ


Keyboard มีไฟที่ผมตื่นเต้นมาก

Software

อันนี้ถือว่าเปิดโลกทัศน์เลยครับ คือไม่คิดมาก่อนว่า OS บนคอมพิวเตอร์มันจะมีอะไรที่ใช้ง่ายขนาดนี้ ง่ายเกินไปจนน่าตกใจว่าที่ผ่านมากูมัวใช้อะไรอยู่

ใช้ง่ายกรณีนี้คือไม่เกี่ยวกับพวกปุ่มหรือ Function ที่ไม่เหมือนกับ Windows นะครับ อันนั้นถือว่าเป็นความคุ้นเคยมากกว่า แต่ง่ายในที่นี้คือ การ Config อะไรๆ มันดูเล็กน้อยไปหมด หลายๆ ส่วนมีวิดีโออธิบายอีกนะ ประมาณว่าถ้าอ่านไม่รู้เรื่องก็ดูภาพเอา เอาง่ายๆ แค่ System Preferences (เทียบกับ Windows ก็คือส่วนของ Control Panel) มันมีอะไรให้ปรับไม่เยอะมากนัก แถมแต่ละอันก็มีรายละเอียดน้อยนิดแต่กลับตอบโจทย์ผู้ใช้ได้ค่อนข้างครอบคลุม อันนี้อาจจะขัดใจนักปรับแต่ง Windows อยู่บ้างแต่ถ้ามองถึงความสะดวกแล้วมันสะดวกจริงๆ ครับ


System Preferences ทั้งหมดมีแค่เนี้ย
(แถวล่างสุดน่าจะเป็นพวก Setting ของ Plug In ที่เราลงเพิ่มครับ)

ซอฟต์แวร์ที่มีมาให้พร้อมเครื่องก็ถือว่ารองรับการทำงานได้ครอบคลุมครับ มีโปรแกรมตระกูล iWork มาให้ (Pages, Numbers, Keynote) ดูหนังฟังเพลงก็ iTunes จัดการรูปภาพก็ iPhoto เล่นเว็บก็ Safari ส่วน File Explorer ในนี้มันชื่อว่า Finder ครับ หาได้ทุกอย่างจริงๆ

นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมเฉพาะทางที่ลงมาให้แล้วอีกอย่าง Garageband (ต่างกับใน iPad ลิบลับเลยครับ), iMovie (อันนี้ยังไม่ได้ลอง) นอกนั้นก็โปรแกรมทั่วไปที่คุ้นเคยกันใน iOS อย่างพวก Mail, Calendar, Reminder, Maps, Game Center อ้อมี Facetime ด้วย ที่สำคัญมี iCloud ด้วยนะครับ อะไรๆ ที่เก็บไว้บน iOS มันก็จะมาอยู่บน Mac OS X ได้อย่างง่ายดายสุดๆ ครับ


หน้าจอ Launchpad ดูโปรแกรมต่างๆ ที่ลงไว้ในเครื่องเรา หน้าตาราวกับ iOS


หน้า Desktop ของ Mac OS X Maverick

พวกโปรแกรมอื่นๆ ที่จะลงเพิ่ม ก็สามารถหาได้จาก Mac App Store ครับ (ส่วนใหญ่เสียตังค์แถมแพงอีก) หรือจะหาโหลดจากตามเว็บก็ได้ครับ ซึ่งส่วนใหญ่สมัยนี้จะทำมาเป็นไฟล์ dmg คือลักษณะเหมือน Image File เวลาเปิดมันก็จะ Mount File นั้น แล้วก็ขึ้นหน้าจอให้เราติดตั้งโปรแกรม วิธีติดตั้งก็ง่ายบัดซบครับ ไม่ต้องกด Next อะไรเลย ลากไฟล์โปรแกรม (มักจะอยู่ด้านซ้าย) มาใส่ในโฟลเดอร์ Applications ที่ตัวติดตั้งมันทำ Shortcut ไว้ให้ (มักจะอยู่ด้านขวา) แค่นั้นเอง จบ O_O

แล้วพอไปดูในโฟลเดอร์ Applications ที่รวมโปรแกรมที่ลงไว้ (เหมือนโฟลเดอร์ Program Files ของ Windows) ก็อึ้งครับ คือโปรแกรมนึงก็ไฟล์นามสกุล .app ตัวนึง (ในกรณีที่เป็นโปรแกรมทั่วไปที่ไม่ได้ใหญ่โตมาก) เวลา Uninstall ก็ลากไอ้ .app นั่นแหละครับลงถังขยะ (Windows เรียก Recycle Bin ในนี้เรียก Trash) แค่นั้น !!???

(แต่ถ้าจะ Uninstall แบบเกลี้ยงๆ เลยก็ใช้โปรแกรม Utilities ตัวอื่นช่วยแทนครับจะลบได้สะอาดสะอ้านกว่า)


ตัวอย่างหน้าจอ Install VLC Media Player ครับ ลากไอคอนรูปกรวยไปที่โฟลเดอร์ Applications (จริงๆ มันเป็น Shortcut) แค่นั้นเอง ง่ายไปปะวะ


ในโฟลเดอร์ Applications ครับ โปรแกรมนึงก็ไฟล์ .app ไฟล์นึง อยากลบโปรแกรมไหนก็ลากอันนั้นลงถังขยะ



เว็บโหลดโปรแกรม Freeware, Shareware แหล่งประจำของผม Filehippo.com ก็มีโปรแกรมของ Mac OS X ให้โหลด

ต่อไปนี้คือพวกโปรแกรมใช้งานที่ผมคุ้นเคยมาจาก Windows แล้วก็เพิ่งรู้ว่ามันมีเวอร์ชั่น Mac OS X ด้วยครับ และแน่นอนผมก็จัดการลงและทดสอบไปบ้างแล้ว ก็ใช้งานได้ดีไม่ต่างกันเลยครับ


VLC Media Player เอาไว้ดูหนัง จริงๆ ดูใน iTunes ก็ได้แต่ผมติดแบรนด์ VLC มากกว่า


uTorrent เอาไว้โหลดบิต


Twitter Client คล้ายๆ ใน iOS เลยครับ เล็ก ง่าย ไม่ซับซ้อน


Deezer เอาไว้ฟังเพลงออนไลน์ ตัวนี้ยัง Beta อยู่


Protege โปรแกรม Ontology Editor ตัวหากินของผม ไม่มีโปรแกรมนี้อาจเรียนไม่จบ (จริงๆ ต้องมี Eclipse อีกตัวแต่ยังโหลดไม่เสร็จ)


CCleaner โปรแกรม Utility ประเภททำความสะอาดลบไฟล์ขยะ เป็น Freeware ที่ดีมากๆ ใช้มาหลายปีแล้ว



Google Chrome แต่ผมพยายามจะเปลี่ยนมาใช้ Safari เพราะหลังๆ รู้สึก Chrome จะอลังการเกินไปจนเปลืองทรัพยากรเครื่อง


Handbrake โปรแกรมแปลงไฟล์วิดีโอที่ใช้ดีมากๆ อันนี้มีมาในเครื่องแล้วสงสัยร้านมันแอบลงมาให้


LINE มี LINE ด้วย !!! (ไปแม่งทุกระบบ) แต่ผมไม่ได้ลองเลยไม่รู้ว่าเหมือนในมือถือรึเปล่า


หน้าจอ Mac App Store ครับ คล้ายๆ ใน iOS แหละ


เกมก็มีครับ อย่างเกมฟอร์มยักษ์ที่น่าสนใจคือ Diablo III ผมกำลังโหลด Starter Edition มาลองอยู่ว่ากราฟิกมันจะพอไหวมั้ย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะโหลดเสร็จชาติไหนครับ

Cross Platforms Compatibilities

อันสุดท้ายที่อยากจะกราบทั้ง Microsoft ทั้ง Apple คือ ความเข้ากันได้ของทั้งสอง OS จากทั้งสองค่าย คือนอกจากเราจะสามารถลง Windows ผ่าน BOOTCAMP แล้ว ใน Mac OS X ยังมองเห็นพาร์ทิชันที่เป็น Windows ใน BOOTCAMP ด้วยครับ (ลักษณะคือ BOOTCAMP จะกลายเป็นพาร์ทิชันนึงที่มี Windows อยู่ข้างใน) ส่วนเวลาเราบูตเข้า Windows ก็จะเห็น BOOTCAMP (คือตัวมันเอง) เป็น Drive C:\ ส่วนพาร์ทิชันที่เป็น Mac OS X มันจะมองเป็น Drive อีกอันนึงครับ (ของผมแบ่งแค่ 2 พาร์ทิชันคือ Mac OS X กับ BOOTCAMP เพราะงั้นใน Windows จะเห็น Mac OS X เป็น Drive D:\)

ข้อดีมันคือ จะเก็บไฟล์ไว้ที่ไหนก็ได้ครับ เก็บไฟล์เอกสารไว้ใน Windows พอบูตเข้า Mac OS X ก็เปิดไฟล์ได้ หรือ Sync เพลงผ่าน iTunes ใน Mac OS X เวลาทำงานเอกสารใน Windows ก็เอาเพลงมาเปิดฟังได้ อะไรประมาณนี้ ซึ่งผมว่ามันยอดมากครับ เห็นแก่ความสะดวกของผู้ใช้จริงๆ

(แต่เรื่องที่เอาไฟล์จาก Microsoft Office กับ iWork มาเปิดข้ามกันนี่ไม่เกี่ยวนะครับ ปัญหาอมตะนี้คงไม่มีวันแก้ได้ตลอดกาล 55555+)

ถึงแก่เวลาที่ผมต้องเตรียมตัวไปส่งงานอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว เอาไว้ถ้ามีเวลาว่างๆ ได้ลองหัดใช้งานจริงๆ สักพักนึงแล้วจะมาเล่าสู่กันฟังต่อนะครับ

แต่ ณ ตอนนี้สรุปสั้นๆ ได้เลยว่า พอใจมากกกกกกกก :)


(Entry นี้และ Entry ที่แล้วเขียนแก้ง่วงระหว่างรอเวลาไปส่งงานอาจารย์หลังจากโหมงานมาหลายวันหลายคืนติด)

190 | My Macbook Pro !!!


แล้วในที่สุด อารยธรรม Apple ตัวเป้งๆ ก็มาอยู่ในชีวิตผมจนได้ครับ

เล่าเท้าความก่อน เมื่อช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ผมมีปัญหากับ Notebook ASUS เครื่องใหม่ของผมมาก (ใหม่ประมาณ 1 ปีกว่าๆ) คือมันชอบแฮงค์แบบงงๆ ช้าแบบหาสาเหตุไม่เจอ ผมก็ลองสลับ OS มาสารพัดแล้วตั้งแต่ Windows 7 32-64 Bit, Windows 8 Enterprise 32-64 Bit, Windows 8.1 Pro 32-64 Bit, Ubuntu (เวอร์ชั่นล่าสุด) ก็มีปัญหาเหมือนๆ กันหมด (Ubuntu ดูจะปัญหาน้อยสุด) ซึ่งผมก็ไม่อะไรมาก เพราะการใช้งานโดยทั่วไปช่วงนั้นคือเล่นเน็ต, ฟังเพลง, ต่อ HDMI ดูหนังผ่านทีวี, โหลดบิต อะไรทำนองนี้

มามีปัญหาอีตอนจะทำงานนี่แหละครับ งานที่ทำอยู่ช่วงนี้คือจะยุ่งๆ อยู่กับการสร้าง Ontology กับ SKOS โดยใช้ Protege และ Plug In บางตัว, ทดสอบ Query กับ Ontology ที่สร้างโดยใช้ Eclipse เขียนโปรแกรม Java เล็กๆ + Jena API แล้วก็เขียนรายงานใน Microsoft Word มีเก็บผลลง Excel บ้าง แต่งานหลักคือเขียนรายงานลง Word นี่แหละครับ ซึ่งปกติแล้วผมจะใช้ Cloud Storage เป็นหลัก (เดิมใช้ DropBox แต่พอมี Surface RT แล้วใช้ OneDrive มันสะดวกกว่าเยอะ) บางทีทำๆ งานไป เครื่องแฮงค์ บางทีพิมพ์ๆ งานอยู่ จอฟ้า (จอฟ้าของ Windows 8.1 นี่เชี่ยมาก) ไอ้ที่เจ็บปวดจัดก็คือบางทีไฟล์ล่าสุดที่เราเก็บลง Cloud ไปดันหาย ต้องไปเอาเวอร์ชั่นเก่ามาเขียนเพิ่มอีก

ผมก็พยายามหาสาเหตุ + หาทางออกที่ดีที่สุดมาตลอด ตอนแรกเดาก่อนเลยว่า OS แหงๆ ซึ่งก็ไม่น่าใช่เพราะปัญหามักจะเกิดตอนใช้ Microsoft Office ก็เลยมาเดาต่อว่าเป็นที่ Office รึเปล่า ก็ลองเปลี่ยนไปมาระหว่าง 2007 กับ 2013 ซึ่งก็ไม่ต่างกันเท่าไร ลองหาทางออกโดยเปลี่ยนไปลง Ubuntu แล้วไปใช้ LibreOffice ก็เจอปัญหาเรื่อง Font อีก (อยากให้บรรดา Conference, Journal ไทยทั้งหลายเลิกบังคับใช้ Font UPC ซักที) ลองไปใช้ Office 365 ผ่านเว็บก็นะ...ช้ามากๆ แถมไฟล์ที่อยู่ใน OneDrive ต้อง Convert ก่อนถึงจะแก้ไขงานได้อีก (ช่างเป็นระบบที่ฉลาดมาก นี่ไฟล์เอกสารตูสร้างจาก Microsoft Office ของบริษัทมึงเองเลยนะ)

จนมาเจอช่วงพีคเมื่ออาจารย์ที่ปรึกษาให้เขียนโครงร่างวิทยานิพนธ์ส่งเพื่อดูโอกาสขึ้นสอบช่วงเดือนหน้า แม่งเหมือนรู้เลยครับว่างานเร่ง เครื่องแฮงค์ทุก 10-20 นาที พิมพ์ไปเป็นครึ่งหน้าหายไปแบบงงๆ จอฟ้านี่ขึ้นแล้วขึ้นอีกแบบ...เฮ้ย ใจว่ะ มึงอะไรเนี่ย (กูจะบ้า) สุดท้ายมานั่งคิดว่าไม่ไหวแล้วว่ะ ขึ้นเป็นแบบนี้ต่อไปงานเสร็จไม่ทันส่งแน่ ทางออกที่พอนึกออกมีดังนี้ครับ

- เอาเครื่องไปซ่อม คือสันนิษฐานว่าเป็นที่ Hardware แหงๆ ละ แต่จะเอาไปซ่อมตอนนี้แล้วมันจะเสร็จเมื่อไร ปัญหาคือยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเสียที่อะไร ถ้าเสียที่ HDD ก็โอเค ซื้อตัวใหม่มาเปลี่ยนจบ แต่ถ้าแม่งเสียที่บอร์ดละ หนังยาวเลยนะคราวนี้ 1 เดือนเป็นอย่างช้าแหง
- ไปใช้เครื่องอื่นทำงาน...เครื่องใครละ เครื่องที่ห้อง ป.เอกมีอยู่แต่จมฝุ่นมาเกือบ 2 ปีละแถมเป็น PC ตูต้องลากสังขาร (ที่ยังไม่ปกติดี) ไปทำงานที่คณะทุกวันก็คงไม่ไหว จะยืมเครื่องชาวบ้านใช้ก็นะ เครื่องคอมไม่ใช่จานชามช้อนส้อม จะเอาคอมจากที่บ้านมาใช้แล้วพ่อกับแม่จะใช้อะไรอีก จะยก PC ที่บ้านที่มีอยู่อีกเครื่อง ไอ้นั่นก็ 3-4 ปีละ ผีเข้าผีออกเหมือนกัน (แต่ยังไม่มีเวลาซ่อม)

โทรไปปรึกษาแม่ครับ แม่ให้ทางออกแบบสุดตะลึงคือ ซื้อคอมใหม่เลย (โอ้วววนี่บ้านเราเศรษฐีตั้งแต่เมื่อไร) เหตุผลที่จำยอมคือมันรีบครับ ถ้าไม่ใช่ช่วงปั่นงานผมก็ไม่อะไรๆ หรอก แต่ ณ วินาทีนี้เวลาโคตรจะสำคัญ แม่บอกว่ามันจำเป็นก็ต้องซื้อ เครื่อง (เฮงซวย) นั่นเดี๋ยวเสร็จช่วงเร่งงานแล้วค่อยไปซ่อม

โอเคสรุปว่าได้เสียตังค์กันอีกแล้ว คราวนี้ก็ถึงผู้ใช้อย่างผมต้องตัดสินใจละว่าจะซื้อเครื่องยี่ห้อไหน รุ่นอะไร ราคาเท่าไร ผมตอบแบบไม่คิดเลยครับคราวนี้

Macbook Pro เท่านั้น !!!

คือตอนที่ Notebook ACER ที่ใช้มาตั้งแต่สมัย ป.โท ตัวที่หอบหิ้วมาจากนครสวรรค์มันมีปัญหาชาร์ตไฟไม่เข้านั่นประมาณปี 55 ผมก็ขอซื้อ Notebook เครื่องใหม่ (ก็คือไอ้ ASUS ที่มีปัญหานี่แหละ) ตอนนั้นคิดแบบห้าวๆ ว่าอยากได้เครื่อง Mac เลยบอกแม่ไป แม่ก็อนุมัตินะแต่คิดไปคิดมาผมเกิดเสียดายเงินขึ้นมา เพราะราคาตอนนั้นมันเกือบ 40,000 ถ้าเราเลิกห้าวแล้วไปซื้อ Notebook ธรรมดาอย่างที่เคยใช้ก็อาจจะสัก 19,000 ประหยัดไปครึ่งนึงเห็นๆ เลยตัดสินใจเอา ASUS ตัวนี้มาเพราะเชื่อใจแบรนด์นี้มาก (ASUS ตัวแรกที่ใช้ซื้อตอนทำโปรเจคจบ ป.ตรี ประมาณปี 49 มาหมดแรงล้าเพราะสเปคไปต่อไม่ไหวตอนเรียน ป.โทช่วงปี 52 แล้วแม่ก็ใช้ดูหุ้นเล่นเน็ตที่บ้านมาอีกจนปี 55 ปลดระวางเอา ACER ผมไปซ่อมแล้วมาใช้แทน จริงๆ ทุกวันนี้มันก็ยังไม่พังแค่แบตเสื่อมไปตามเวลา) 

แล้วไอ้แบรนด์ที่เชื่อใจแม่งก็ทำกันซะจนได้


ASUS เจ้าปัญหา ทุกวันนี้ก็ยังทำใจเปิดเครื่องย้ายข้อมูลไม่ได้ กลัวแฮงค์แล้วจะปรี๊ดแตกอีก

ต่อมาก็ได้มีโอกาสไปลองเล่น Macbook Pro จากที่ iStudio, iBeat รวมถึงเล่นของชาวบ้านมาหลายครั้ง ทั้งของพี่ชัย (ป.เอก IT) กับเมษา (ป.โท IT) โดยเฉพาะไอ้เมษาที่โฆษณาชวนเชื่อแบบสุดๆ หลายครั้ง (เอาจน อ.ต้องเสียเงินซื้อ Macbook Air มาแล้ว) จนเริ่มรู้สึกคุ้นเคยกับระบบของมันบ้างละ (คือมันเหมือน Ubuntu มากๆ แต่เอาจริงๆ แล้วต้องบอกว่า Ubuntu ไปเหมือน Mac OS X ถึงจะถูก) พอคราวนี้ถึงเวลาเปลี่ยนเครื่องอีกครั้ง ผมเลยตัดสินใจแบบไม่คิดเลยครับ เหตุผลของการเลือก Macbook Pro ของผมมีดังนี้คือ

- ความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคา คือตอนซื้อราคามันแพงจนน่าตกใจก็จริง แต่ถ้ามันสามารถใช้ได้ไปนานๆ สัก 4 ปีอย่างต่ำนี่ก็พอคุ้มอยู่ (อาจจะเฉลี่ยปีละ 10,000 บาท) ซึ่งปกติใช้ Notebook เนี่ย 2-3 ปียังปกติดีนี่ก็สุดยอดแล้วครับ ถึงผมจะไม่ได้เล่นเกมหนักๆ แต่เวลาใช้ทำงานก็เปิดนานอยู่เหมือนกัน แถมมักจะหอบหิ้วไปนู่นนี่อยู่บ่อยๆ ด้วย Notebook ปกตินี่ก็ต้องมีงอแงบ้างละ
- ความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับอายุการใช้งาน ตัวเครื่องโลหะแบบ Macbook Pro นี่ดูยังไงก็ทนกว่า Notebook ปกติอยู่แล้วครับ อีกอย่างในแง่ OS ที่รองรับนี่ก็ดูเหมือนจะนานใช้ได้อยู่ (เพิ่งเห็นว่า Yosemite ที่กำลังจะออกนี่รองรับไปถึงรุ่น 2009 โน่น) ยังไงก็คงมี OS ใหม่ๆ ให้ใช้ได้อีกนานครับ
- ความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับความหลากหลาย คือตอนนี้เอามาลง Windows ผ่าน BOOTCAMP ก็โอเคแล้วนะ ยังไม่นับโปรแกรมทั่วไปที่อยู่บน Mac OS X อีกที่ตอนแรกนึกว่าน้อย (สมัยก่อนคงน้อย) แต่จริงๆ แล้วมันเยอะ แล้วมันเป็นโปรแกรมที่เราใช้อยู่บน Windows เป็นประจำซะด้วยสิ

ผมตัดสินใจแบบชัดเจนประมาณนี้แล้ว ต่อไปก็เลือกรุ่นละครับ

Macbook Air นี่ตัดไปได้เลย เพราะมันบอบบางไปสำหรับผม แถม Storage น้อยเหลือทน (ถึงจะเร็วเพราะเป็น SSD ก็เหอะ) พอมาดู Macbook Pro ตัวล่าสุด สิ่งแรกที่ผงะคือราคาครับ...เกินงบมาไม่ใช่น้อย แถมพอไปดูตัวจริงแล้วแบบว่าเฮ่ย Apple คิดถูกแล้วเหรอ ดูมันทับไลน์ Macbook Air ยังไงชอบกล นับตั้งแต่น้ำหนักที่เบาลงแต่อัพเกรดอะไรไม่ได้เลย Storage เปลี่ยนมาใช้ SSD แล้วความจุน้อยลงมาก แล้วไอ้จอ Retina Display นี่มันก็...ดีนะ แต่ไม่ค่อยสำคัญไม่ใช่เหรอ

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมซื้อคอมพิวเตอร์แบบ "ไม่เอาเทคโนโลยีล่าสุด" ครับ เหตุผลคล้ายๆ ตอนซื้อ iPhone 5 แหละครับคือ สู้ราคาไหวแค่นี้ อีกอย่างคือคิดว่ารุ่นใหม่ๆ ที่อาจจะออกมาต่อจากนี้คงไม่ตอบโจทย์เราอีกแล้ว คือคอมพิวเตอร์มันควรจะแยกส่วนครับ มันควรจะอัพเกรดได้ ไม่ใช่เน้นเบาเน้นหรูแต่จบแค่นั้น ถ้าสมมุติว่าซื้อ Macbook Pro Retina Display มาแล้ว Storage ไม่พอละ? ใช้ Ext HDD เหรอ ไม่ใช่เรื่องแล้วมั้ง (คหสต.นะ) สุดท้ายตัดสินใจได้ชัดเจนเพราะเหลือให้เลือกอยู่รุ่นเดียว ก็ตรงดิ่งไป iStudio ที่เซ็นทรัล ณ บัดเดี๋ยวนั้นเลยครับ (อย่าลืมว่าผมกำลังปั่นงาน ช่วงเวลาตัดสินใจจนถึงตอนออกไปซื้อใช้เวลาเพียงประมาณ 1 ชม.)


รุ่นนี้ครับ (Capture จากเว็บ Apple Store TH)

ดูจากสเปคแล้วก็ไม่ได้ขี้เหร่ครับ CPU ความเร็วเท่านี้มันเกินพอแล้ว RAM 4GB เท่าเครื่องเก่าก็เหมาะสมกับงานเราไม่มากไม่น้อยเกินไป (รู้มาว่า Mac OS X พื้นฐานมาจาก UNIX ซึ่งค่อนข้างประหยัดทรัพยากร) HDD 500 GB ก็เท่าเครื่องเก่า ส่วนการ์ดจอ Intel นี่ไม่ซีเรียสครับเพราะใช้ On Board ของ Intel มาตลอด ยกเว้นเครื่องล่าสุดมี nvidia มาแต่ก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์เท่าไร 5555555 ส่วนแบต 7 ชั่วโมงนี่ในใจคิดว่าโม้ชิบหาย แต่ก็เคยลองดูพี่ชัยกับเมษาใช้แล้วก็โอเคถือว่านานอยู่

ตอนไปซื้อก็อย่างที่คิดไว้ครับ สินค้า Apple ราคาไหนราคานั้นทั่วราชอาณาจักร 37,900 ไม่มีลดให้สักสลึง ผมซื้อ Magic Mouse ด้วยแม้จะพอรู้มาว่า Mouse ธรรมดาก็ใช้ได้ แต่ก็ไหนๆ จะย้ายอารยธรรมแล้วก็เอาให้มันสุดๆ ไปเลยละกัน (วะ) โดนไปอีก 2,000 กว่าบาท อีกอย่างที่สำคัญคือสายแปลง Thunderbolt เป็น HDMI อันนี้สำคัญมากเพราะความบันเทิงส่วนหนึ่งในชีวิตคือการดูหนังครับ รวมๆ แล้วหมดไป 41,xxx ในพริบตา (เข่าอ่อน) ยังดีที่น้องพนักงานขายเป็นอดีตลูกศิษย์พี่โหน่งเลยคุยง่าย น้องเขาแถมฟิล์มกันรอย iPhone 5 มาให้อีก 4-5 อันค่อยยิ้มออกบ้าง


Magic Mouse ตัวแพง (ตอนหลังรู้แล้วว่าทำไมถึงแพง)


กล่อง Macbook Pro เทียบขนาดกับหนังสือการ์ตูนทั่วไปครับ

กลับมาถึงห้องก็ลง Windows 8.1 Pro + Office 2013 ผ่าน BOOTCAMP ก่อนเลยครับ แล้วก็ปั่นงานยาว มีเวลาช่วงก่อนนอนประมาณวันละ 10-20 นาทีแอบหัดใช้ Mac OS X Marverick บ้างจนพอจะคลำทางได้บ้างละ

ตอนต่อไปจะมาเล่าถึงประสบการณ์การใช้งานสั้นๆ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาครับ


(Entry นี้เขียนแก้ง่วงระหว่างรอเวลาไปส่งงานอาจารย์หลังจากโหมงานมาหลายวันหลายคืนติด)

24 มีนาคม 2557

188 | ว่ากันด้วยเรื่องของความสะใจในการทำงาน

(เผยแพร่ครั้งแรกที่ http://www.gotoknow.org/posts/564567 วันที่ 24 มี.ค. 2557)

ยังจำได้ไหม ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนทำงานสำคัญอะไรบางอย่างสำเร็จ

สำหรับเส้นทางชีวิตของโปรแกรมเมอร์ ผมกลับจำความรู้สึกที่เขียนโปรแกรมสำเร็จเป็นครั้งแรกไม่ค่อยได้แฮะ คุ้นๆ ว่าเป็นโปรแกรมภาษา Pascal ที่ได้เรียนในวิชาคอมพิวเตอร์วิชาแรกตอนปี 1 ก็คือวิชาอัลกอริทึม ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ Hello, World แบบที่โปรแกรมเมอร์หน้าใหม่แทบทั้งโลกได้เขียนซะด้วย ดูเหมือนว่าจะให้แสดงชื่อตัวเองรึไงเนี่ยแหละ เพราะฉะนั้นโปรแกรมแรกของผมที่เขียนโดยใช้ Turbo Pascal บน MS DOS ก็คงแสดงผลให้ผมเห็นครั้งแรกว่า

C:/> dew

แค่นี้ละมั้ง

และตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำว่านี่มันคือโปรแกรมงั้นเหรอ? มันไม่ใช่ไอ้ที่มีพื้นหลังสีเทาๆ มีแถบสีฟ้าตรงขอบบน และตรงมุมบนขวามีปุ่มสี่เหลี่ยมสามอัน อันท้ายสุดเป็นสีแดงไว้ปิด อะไรแบบนี้ไม่ใช่เหรอที่เรียกว่าโปรแกรมน่ะ ? เพราะงั้นมั้งผมเลยไม่รู้สึกตื่นเต้นเลยสักนิด

อีกเหตุผลนึงก็คงเป็นเพราะในนาทีนั้น มีโปรแกรมแบบเดียวกันเกิดขึ้นอีกประมาณ 40 โปรแกรมพร้อมๆ กันในห้อง Lab ที่เรียนกันอยู่ (โดยเพื่อนๆ ร่วมชั้นของผมเอง) มันก็เลยไม่ได้รู้สึกแปลกอะไรเลย

แต่ไอ้ความรู้สึกสุขสุดยอดตอนทำงานด้านโปรแกรมอย่างที่เกริ่นไว้ในบรรทัดแรกน่ะ มันเกิดกับผมหลังจากนั้นอีกนานพอสมควร และทุกๆ ครั้งเหมือนผมจะจำได้ดีเลยละ

ครั้งแรกก็คือตอนปี 2 ตอนที่ผมสามารถติดตั้ง Red Hat ได้เองเป็นครั้งแรกโดยได้รับคำแนะนำแบบครึ่งๆ กลางๆ จากรุ่นพี่ปี 4 ที่ผมไปขอความช่วยเหลือด้วย ซึ่งหลังจากที่เอาแนวทางมาลองผิดลองถูกจนสำเร็จ จำได้แม่นว่าผมนอนไม่หลับไปหลายคืน เพราะตอนนั้นโลกคอมพิวเตอร์สำหรับพวกเรามีแค่ Microsoft Windows เท่านั้นเอง พอได้เปิดหูเปิดตาว่าจริงๆ แล้วมันยังมี OS แบบอื่นๆ ที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลได้ด้วยเนี่ย มันเป็นอะไรที่ตื่นเต้นและตกตะลึงไปพร้อมๆ กันเลย

ครั้งต่อมาคือปีเดียวกัน ตอนที่ผม Config phpbb ให้เชื่อมต่อกับ MySQL ได้สำเร็จ อันนี้จำได้แม่นยำมากเพราะตอนนั้นเป็นเวลาเกือบตี 5 และมันทำให้ผมคึกคักมากจนนอนไม่ได้ เลยคว้าหนังสือ ASP มาหัดเขียนต่อ (แต่ก็ไม่สำเร็จ และตั้งแต่นั้นมาผมก็ไม่เคยเขียน ASP อีกเลย) เด็กสมัยนี้ฟังดูอาจจะรู้สึกเฉยๆ เพราะ CMS ก็มีให้เลือกใช้กันให้เกลื่อน แต่สมัยนั้นมันค่อนข้างใหม่และหนังสือหนังหาที่สอนเรื่องพวกนี้ก็ไม่มี ซึ่งความรู้ตามเว็บบอร์ดช่วยผมได้มากมายมหาศาลเลยทีเดียว

ครั้งที่ 3 คือตอนปี 3 เมื่อผมเขียนโค้ดให้ PHP ดึงข้อมูลจาก MySQL มาแสดง Report เป็นกราฟแท่งได้และเอาไปส่งอาจารย์เป็น Baby Project ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมภูมิใจพอสมควร เพราะตอนนั้นหลักสูตรของเราไม่มีวิชา Web Programming ทุกกลุ่มเลยใช้ Delphi เขียนตามที่เคยเรียนมา มีแต่กลุ่มผมกลุ่มเดียวที่ใช้ PHP งมเอาจากหนังสือสถานเดียว (เหตุผลคือมันดูคล้ายภาษา C เลยรู้สึกคุ้นเคยกว่า) น่าเสียดายที่ภาพรวมปริมาณงานของกลุ่มเราน้อยกว่ากลุ่มอื่นเลยได้เกรดไม่ค่อยดีเท่าไรในวิชานี้

ครั้งที่ 4 ซึ่งยิ่งใหญ่มาก คือตอนทำโปรเจ็คจบ เป็นช่วงที่ผมทำระบบให้เว็บแจกเว็บย่อยให้ผู้ใช้แต่ละคนมีเว็บเป็นของตัวเองได้ (ถ้าเป็นสมัยนี้คงคล้ายๆ กับ tarad.com หรือ exteen.com แต่ตอนนั้นผมพยายามทำให้มันคล้ายกับ geocities.com) และผู้ใช้แต่ละคนสามารถเลือกเปลี่ยน Theme ในเว็บตัวเองได้หลายๆ แบบ เลียนแบบ CMS ในยุคนั้นที่มี Theme ให้เลือกโหลดมาติดตั้งเอง แต่วิธีการผมไม่ได้ลอกใครมา คิดเอง 100% ทั้งการแบ่งโควต้าผู้ใช้ และวิธีการจัดการ Theme (พูดตรงๆ คือไม่มีความรู้พอว่าระบบเจ๋งๆ เขาใช้วิธีไหนทำกันในส่วนนี้) ถึงมันจะดูไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าไรแต่มันก็เป็นงานที่เราคิดหาวิธีการเองล้วนๆ ซึ่งผมภูมิใจมากๆ มากจริงๆ ในตอนนั้น

น่าเสียดายที่สุดที่ Harddisk ของเครื่องที่ผมทำงานอันแสนภูมิใจนั้นเกิด Crash แบบไร้ทางกู้คืน ผมทำมาเกือบ 50% แล้วทั้งโปรแกรมและเอกสารและไม่มั่นใจเลยว่าจะกลับไปเริ่มทำใหม่ตั้งแต่ต้นให้เหมือนเดิมได้รึเปล่า สุดท้ายผมเลยตัดสินใจทำเรื่องเปลี่ยนหัวข้อใหม่ และเริ่มให้ความสำคัญกับการ Backup ข้อมูลตั้งแต่นั้นมา

(นึกถึงเหตุการณ์นั้นแล้วเจ็บปวดเหลือเกิน ขอไว้อาลัยให้ระบบที่แท้งก่อนคลอด 1 นาที T_T)

ครั้งที่ 5 คือตอนทำระบบ Rice Hub of Thailand ให้จังหวัดฯ ตอนอยู่ปี 4 ในคืนสุดท้ายก่อนที่จะต้องเอาระบบที่เป็น Prototype ไปนำเสนอในวันรุ่งขึ้น...ซึ่งตลอด 3 เดือนที่เขาให้เวลามาผมไม่ได้ทำอะไรซักนิดเดียว แต่ในคืนนั้นก็มั่วไปมาจนสร้าง Shopping Cart ได้สำเร็จ (PHP+MySQL) จำได้ว่าคืนนั้นร้อนมาก ผมต้องเอา Notebook มานั่งทำที่ชั้น 1 ของบ้านเช่าที่อยู่รวมๆ กับเพื่อน ทำงานไปเรื่อยๆ พอร้อนมากเข้าก็ออกมาหน้าบ้าน เปิดน้ำก๊อกใส่ถัง ราดหัวหนึ่งโครมแล้วก็ไปนั่งทำงานต่อแบบเปียกๆ (อันตรายนะ) เป็นแบบนี้ไปทั้งคืนจนเกือบเช้า แล้วผมก็หอบเอาเว็บที่มีแต่สีขาว-ดำ พร้อมระบบ Shopping Cart ที่ชำระเงินไม่ได้ไปนำเสนอ โชคดีที่ที่ประชุมค่อนข้างพอใจ งานนั้นมาเสร็จสมบูรณ์ในอีก 2-3 เดือนต่อมา

ครั้งนั้นเป็นครั้งที่กรี๊ดกร๊าดมาก ตอนที่ทำได้นี่ถึงกับวิ่งไปเรียกเด็กข้างบ้านมาดู (น้องที่อยู่บ้านข้างๆ เป็นมือกีตาร์อัจฉริยะที่เก่งเวอร์ๆ เคยได้ยินว่าไปทำงานอยู่กับเดอะปั๋งด้วย แต่ตอนนี้ไม่ได้ข่าวคราวแล้ว) น้องเขามายืนดูเว็บหน้าขาวตัวหนังสือดำที่กดซื้อของชื่อ xxxx หรือ กกกกกกกก ได้ แล้วหันมายิ้มแหะๆ ให้ผมแบบเสียมิได้ แต่ในใจคงนึกว่า....ไอ้ของแค่นี้มันน่าอวดตรงไหน 5555555+

หลังจากนั้นมา ก็ไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้อีกเลย คือโปรแกรมที่ทำต่อๆ มาจากนั้นมามันเป็นไปในทางเดียวกันหมดเลย Web Application พัฒนาด้วย PHP ใช้ MySQL เป็น DBMS เก็บข้อมูลข่าว, ข้อมูลบุคคล, ข้อมูลบลาๆๆๆๆ แล้วก็แสดงผลออกมาเป็นตารางมั่ง Report มั่ง แทบไม่ได้คิดอะไรใหม่เลย พอทำไปหลายชิ้นเข้าก็ชาชิน แล้วก็เริ่มเบื่อๆ

(อาจจะมีแว้บๆ บ้างตอนลองเขียน Python แต่ก็ไม่ได้ตื่นเต้นมากนัก หรือตอนเป็นวิทยากร Moodle, Joomla นั่นก็ตื่นเต้นแบบกลัวพลาดหน้าแขกเพราะเตรียมตัวมาไม่ค่อยดี หรือแม้แต่ตอนเอา iPhone คนอื่นมาลอง Jailbreak นั่นก็น่าจะเป็นความตื่นเต้นเพราะกลัวทำของเขาพังมากกว่า)

จนมาระเบิดความตื่นเต้นอีกครั้งตอนทำงานจบ ป.โทนี่แหละครับ ในช่วงที่คิดอัลกอริทึม และตอนที่พยายามจะเปลี่ยนอัลกอริทึมที่คิดได้แล้วให้กลายเป็นโค้ดนี่แหละ เป็นช่วงเวลาที่ผมต่อสู้กับตัวเองได้อย่างสะใจที่สุดครั้งนึงเลย

คือช่วงนั้นจะมีกระดาษ A4 2-3 แผ่นพับๆ ใส่กระเป๋าเสื้อไว้ตลอดพร้อมปากกา 1 ด้าม สอนเสร็จก็ลงมานั่งคิดๆๆๆๆ คิดได้ก็เขียนๆ ลงกระดาษไป แล้วก็เอาไปเขียนโค้ดในคอมฯ...ไม่ได้ เอาใหม่ กลับมาที่กระดาษ A4 อีกครั้ง วนไปๆ มาๆ แบบนี้ทุกวัน ทุกคืน

ตกกลางคืน กลับบ้านทานข้าวเสร็จ ก็ขี่มอเตอร์ไซค์วนไปวนมารอบๆ เมือง แล้วก็ใช้ความคิดไปด้วย นึกได้ตอนไหนก็จอดรถข้างถนน แล้วก็เอากระดาษ A4 มาจดๆ มันตรงนั้นแหละ แล้วก็ขี่รถต่อ วนๆๆๆๆ ต่อไปจนตี 3-4 ถึงกลับบ้านนอน เป็นแบบนี้อยู่เกือบครึ่งเดือนโปรแกรมถึงทำงานได้ถูกต้องตามที่คิดไว้ คุ้นๆ ว่าแม่ทักว่าเออ กลับมาเป็นคนปกติแล้วสินะ...คือมันขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย

(แต่หลังจากนั้นตอนที่เอางานที่ว่ามาเขียน Paper ส่ง กลับจำความตื่นเต้นไม่ได้ สงสัยเพราะจำได้แต่ความกลัวเวลาที่ปรึกษาดุมากกว่า 5555555)

หลังจากนั้น ช่วงที่มาเรียน ป.เอกนี่ ความรู้สึกพวกนี้มาบ่อยเลยครับ เหมือนมันได้เจองานที่ยากขึ้น ไม่คุ้นเคยมากขึ้น แล้วก็หลากหลายมากขึ้น อย่างเมื่อปีที่แล้วก็ตอนที่เขียนกฏ SWRL ให้ Inference ใน Ontology ที่สร้างได้สำเร็จนั่นก็โคตรกรี๊ด หรือเมื่อเดือนก่อนที่เขียน SPARQL (Implement ใน Java โดยใช้ Jena) ให้ดึงข้อมูลจาก SKOS ที่สร้างได้สำเร็จ ช่วงนั้นกินข้าวไม่ลง นอนไม่หลับ 2 วันติดๆ คือตอนแรกมันเครียด แต่พอทำได้แล้วมันสะใจครับ แล้วมันก็พีคต่อเนื่องมาอีก 2-3 วันเลย

คือที่เล่าๆ มาเนี่ย คิดว่าหลายๆ คนคงเคยเป็นเหมือนกัน คือความรู้สึกตอนที่กำลังพยายามจะทำให้มันสำเร็จเนี่ย ทั้งเครียด ทั้งเหนื่อย ทั้งหงุดหงิด ความรู้สึกด้านลบสารพัดอย่างถาโถมเข้ามาเรื่อยๆ

แต่มันแปลกที่ตัวเราเองทำไมถึงไม่เลิกทำสักทีล่ะ ? เครียดก็น่าจะพอ เหนื่อยก็น่าจะพัก หงุดหงิดก็น่าจะหยุดทำแล้วไปพักผ่อนซะสิ แล้วทำไมยังดันทุรังทำต่อ ?

ก็คงเป็นเพราะว่ารู้อยู่เต็มอกมั้งครับ ว่าความรู้สึกตอนที่ทำสำเร็จแล้วนึกย้อนกลับมาดูนี่แหละครับ มันคือที่สุดของที่สุดแล้ว โคตรฟิน โคตรสะใจ โคตรภูมิใจ ภูมิใจสุดๆ เลย ภูมิใจในตัวเองที่สู้กับตัวเองจนผ่านมาได้

คนอื่นจะเป็นยังไงผมไม่รู้หรอก แต่ผมรู้ดีว่าตัวเองมีศักยภาพแค่ไหน และตัวเองมีขีดจำกัดแค่ไหน แล้วพอตอนที่เราข้ามขีดจำกัดของตัวเองมาได้นี่แหละครับ...ความรู้สึกมันสุดจะบรรยายจริงๆ :)

20 กุมภาพันธ์ 2557

187 | Game Over

ในวันที่เน็ตหอผีเข้าผีออกแบบนี้ หันมานั่งเขียน Blog ดีกว่าครับ

ช่วงนี้เกิดอาการกลับมาเห่อ Kindle อีกครั้งหลังจากที่วางจมฝุ่นไว้นาน เนื่องมาจากไปได้หนังสือเรื่อง Game Over: How Nintendo Conquered the World เวอร์ชั่น mobi มาอ่าน ซึ่งจริงๆ แล้วหนังสือเล่มนี้ออกมานานพอสมควรแล้ว (น่าจะยุค Gameboy ไม่แน่ใจเหมือนกันเพราะยังอ่านไม่จบ) แต่ตอนแรกผมได้อ่านเวอร์ชั่นแปลไทยแบบคร่าวๆ จากเว็บ Mythland.org ในชื่อว่า Nintendo Drama ซึ่งเป็นอะไรที่สนุกมาก !!!


เรื่องราวหลักๆ ของหนังสือเล่มนี้ เล่าถึงความเป็นมาของบริษัท Nintendo และกล่าวถึงชีวิตของผู้บริหาร Nintendo ยุคนั้นอย่าง Hiroshi Yamauchi และคนอื่นๆ บ้างนิดหน่อย แต่ประเด็นหลักของผู้เขียนคือความพยายามที่จะนำเสนอว่า บริษัทเล็กๆ ในญี่ปุ่นที่มีความเป็นมายาวนานในธุรกิจสายบันเทิงอย่าง Nintendo ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในวงการดิจิตอลเกมในยุค Famicom, Super Famicom และ Gameboy ได้อย่างไร (จริงๆ เนื้อหาในเวอร์ชั่นแปลไทยคร่าวๆ กล่าวไปถึงยุคของ Nintendo 64 แล้วแต่คนแปลไม่ได้ทำต่อ ซึ่งคิดว่าในหนังสือเล่มนี้ก็คงยาวไปถึงประมาณนั้นแหละ)

เรื่องราวของบริษัท Nintendo นั้นน่าสนใจไม่แพ้บริษัทไอทียักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Microsoft, Apple หรือ Google เลย โดยเฉพาะความสามารถของผู้บริหารอย่าง Hiroshi Yamauchi ที่แม้จะไม่มีความสามารถทางด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ และไม่เคยเล่นเกม (!!?) แต่ก็มีวิสัยทัศน์ที่เป็นแบบอย่างเฉพาะตัวที่จะสามารถตัดสินได้ว่า อะไร "ขายได้" ในธุรกิจนี้ แถมยังมีพฤติกรรมในวงการที่ดุดันโหดดิบยังกับยากูซ่า จนไม่น่าเชื่อว่าคนน่ากลัวแบบนี้คือประธานบริษัทที่ขายของเด็กเล่นและเกม

เรายังได้เห็นความเป็นมาของเกมคอนโซลตัวสำคัญของ Nintendo ที่ตีตลาดเกมทั่วโลกได้ประสบความสำเร็จแบบสุดๆ อย่าง Famicom (Nintendo Family Computer) และทำให้เราได้รู้ว่าทำไม Famicom ถึงครองตลาดเกมได้อย่างยาวนานเป็นสิบปีทั้งที่เทคโนโลยี 8 Bit ตกยุคไปแล้ว และยังได้รู้ว่าทำไมพอมันข้ามมาขายในฝั่งอเมริกาถึงต้องเปลี่ยนชื่อเป็น NES (Nintendo Entertainment System) และเปลี่ยนหน้าตาไปแบบไม่เหลือเค้าเดิม


Hiroshi Yamauchi

และถึงแม้ว่าเราจะได้เห็นชีวิตของผู้บริหารประเภทฟ้าส่งลงมาเกิดอย่าง Yamauchi ว่าน่าอิจฉาขนาดไหนแล้วก็ตาม เรายังได้รู้จักกับผู้บริหารสไตล์ลุยงานแหลกลาญอย่าง Minoru Arakawa ลูกเขยของ Yamauchi ผู้นำ Nintendo บุกตลาดอเมริกา แม้ว่า Arakawa จะเป็นถึงประธานของ Nintendo อเมริกา (NOA) แต่ในหนังสือนี้จะบอกให้เราเห็นภาพเลยว่าความพยายามและความทุ่มเทในการทำงานของ Arakawa นั้นน่ายกย่องเพียงใด และถึงแม้ NOA ในช่วงแรกจะล้มลุกคลุกคลานจนเกือบเจ๊ง แต่ด้วยความตั้งใจจริงสไตล์นักธุรกิจญี่ปุ่นของเขาก็สามารถพาบริษัทผ่านช่วงย่ำแย่มาได้จนกระทั่งครองตลาดอเมริกาได้สำเร็จด้วย Donkey Kong และ NES


Minoru Arakawa

ในช่วงของการบุกตลาดอเมริกาของ Nintendo ยังมีเหตุการณ์เฉือนคมกันระหว่าง NOA และบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Universal ที่อ้างในลิขสิทธิ์ของ Donkey Kong (จากหนังเรื่อง King Kong ที่ Universal สร้างและอ้างว่า Nintendo ไปลอกเลียนตัวคิงคองมา) ซึ่งถือเป็นคดีความใหญ่โตระหว่างบริษัทยักษ์ใหญ่ในธุรกิจบันเทิงของอเมริกาที่พยายามจะขยี้บริษัทเกมข้ามชาติเล็กๆ ให้เละคามือ ผมขอบอกเลยว่าเหตุการณ์ในช่วงนี้ถ้าเอาไปทำเป็นหนังต้องสุดยอดมากๆ !!!


Donkey Kong


Howard Lincoln ทนายของ Nintendo ในคดี Donkey Kong และ Minoru Arakawa (สองคนขวาสุด)

นอกเหนือจากเรื่องราวการเติบโตของ Nintendo แล้ว สิ่งสำคัญสุดยอดที่ได้เล่าไว้ในหนังสือเล่มนี้ ซึ่งผมเชื่อว่าหนังสือประวัติศาสตร์ของวงการไอทีส่วนใหญ่แทบไม่เคยพูดถึงเลย นั่นคือ "ประวัติศาสตร์เกมและธุรกิจเกมในอเมริกา" ซึ่งผมว่าน่าสนใจมากๆ สำหรับคนที่สนใจเรื่องราวความเป็นมาของธุรกิจคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในปัจจุบัน (ซึ่งเราจะเห็นได้จากเรื่องราวในชีวประวัติของ Bill Gates หรือ Steve Jobs เป็นส่วนใหญ่) แต่ในธุรกิจเกมซึ่งน่าจะถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจคอมพิวเตอร์ กลับไม่ค่อยมีใครกล่าวถึงไว้มากนัก เราไม่ค่อยรู้กันว่าก่อนที่จะมี Apple หรือ Microsoft เคยมีบริษัทอย่าง Atari ที่ครองวงการเกมคอมพิวเตอร์อยู่ (ซึ่งมันก็คาบเกี่ยวกับวงการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอยู่บ้างด้วย) และอย่างที่ทุกคนรู้กันดีว่าในวงการซอฟต์แวร์แล้ว ซอฟต์แวร์เกมเป็นอะไรที่ "ยังไงๆ ก็" ขายง่ายกว่าซอฟต์แวร์ชนิดอื่นๆ เพราะงั้นตลาดซอฟต์แวร์ในอเมริกาจึงเคยถูกครอบครองโดยธุรกิจเกมคอมพิวเตอร์มาก่อนที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลจะบูมซะอีก

ในเรื่องนี้เราจะได้เห็นการกำเนิดของเกมคอมพิวเตอร์ในยุคแรก จากงานอดิเรกของนักคณิตศาสตร์ใน Lab จนมันกลายเป็นของที่ขายได้ และก็มีบริษัทต่างๆ พยายามลงมาลุยเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งในตลาดนี้ จนกระทั่งฟองสบู่แตกกระจุยและทุกฝ่ายต่างก็ล้มเหลวกันถ้วนหน้า และในที่สุด Nintendo ก็มาครองตลาดในฐานะผู้ชนะที่มาทีหลังแต่หัวเราะดังกว่า ด้วย NES 

(ประวัติศาสตร์เกมในยุครุ่งเรืองและล่มสลายนี้ทำให้ผมมองภาพเปรียบเทียบกับธุรกิจสมาร์ทโฟนในปัจจุบันที่ฟองสบู่กำลังโตเต็มที่ได้แบบเป๊ะๆ เลยครับ)


Famicom (ซ้าย) และเวอร์ชั่นขายในอเมริกาในชื่อ NES (ขวา)

ความสนุกอย่างสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้คือเรื่องราวของนักออกแบบเกมขั้นเทพ Shigeru Miyamoto ผู้ให้กำเนิดเกมระดับตำนานอย่าง Donkey Kong, Mario และ Zelda ซึ่งเราจะได้รู้ว่าแนวคิดในการออกแบบเกมของเขาเป็นอย่างไร และทำไมเกมที่ Miyamoto ออกแบบถึงได้ประสบความสำเร็จทั้งสิ้น ซึ่งรูปแบบเกมของ Miyamoto มีส่วนมาจากชีวิตส่วนตัวในวัยเด็กของเขา รวมไปถึงมุมมองของเขาที่มีต่อสื่อบันเทิงอย่างเกมที่ต้อง "สนุก" โดยไม่จำเป็นต้องมีความรุนแรงหรือภาพกราฟิกอลังการ เพราะคุณค่าของมันอยู่ที่ Gameplay นั่นเองที่ทำให้เกมของเขาอยู่มาได้เป็นเวลายาวนานและยังคงมีแฟนเหนียวแน่นจนถึงปัจจุบัน


Shigeru Miyamoto

สรุปว่า หนังสือเล่มนี้อ่านสนุกและได้สาระมากครับ แนะนำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่สนใจธุรกิจเกมและอุตสาหกรรมเกมคอมพิวเตอร์ ส่วนตัวผมก็ได้ประโยชน์จากการอ่านที่เห็นได้ชัดคือภาษาอังกฤษดีขึ้นมาก (สำนวนในหนังสือเขียนเข้าใจง่ายและไม่ค่อยใช้ศัพท์ยาก) ก็อยากแนะนำให้ลองหามาอ่านกันดูครับผม :)