หน้าเว็บ

06 ธันวาคม 2555

169 | ความทรงจำที่ไม่มีวันลืม

สืบเนื่องจากวันพ่อแห่งชาติเมื่อวานนี้ทำให้ผมรู้สึกเสียดายมาก ทั้งๆ ที่วางแผนไว้แล้วว่าปีนี้มีเวลาว่าง ยังไงๆ ก็อยากจะพาพ่อกับแม่ไปรับเสด็จในหลวงให้ได้ คิดไว้ว่าจะไป กทม.เช้ามืดวันที่ 5 แล้วหาแท็กซี่ต่อไปลานพระบรมรูปทรงม้า แต่จนที่สุดแล้วก็ไม่ได้ไปต้องมานั่งดูทีวีด้วยความเสียดาย แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากพาพ่อแม่ไปลำบากเพราะเห็นจากข่าวที่ว่าหลายๆ คนมานอนจองที่รอรับเสด็จกันตั้งแต่ช่วงค่ำของวันที่ 4 ถ้าเราพาพ่อกะแม่ไปก็คงต้องเบียดเสียดกับพายุฝูงชนมหาศาลแหงๆ แล้วคนแก่ 2 คนจะไหวรึเปล่าก็ไม่รู้

โทรไปคุยกับแม่ก็บอกว่า ดีแล้วดูทีวีอยู่กับบ้านก็ได้ ความจงรักภักดีเราแสดงออกได้หลายทาง อย่างที่บ้านเขาก็ดูถ่ายทอดสดกัน ได้เห็นในหลวงกับพระราชวงศ์แบบใกล้ๆ แม่บอกว่าแค่นี้ก็พอใจแล้ว ตกค่ำเขาก็พากันไปจุดเทียนชัยถวายพระพรกันที่ศาลากลางจังหวัด ส่วนผมอยู่พิษณุโลกไม่ได้กลับบ้านเพราะติดทำงานส่งหลายชิ้น ก็เลยไปจุดเทียนที่ศาลากลาง จ.พิษณุโลก ก็ได้เห็นบรรยากาศประทับใจของคนที่นี่เหมือนกัน ความรู้สึกมันตื้นตันเหมือนทุกครั้ง ทุกปีครับ

...

นึกถึงเหตุการณ์ที่ประทับใจที่สุดในชีวิตผมที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.2547 เป็นช่วงที่ผมเรียนอยู่ในระดับปริญญาตรี ปี 3 และกำลังฝึกงานอยู่ที่กรุงเทพฯ วันนั้นผมตื่นขึ้นมาตอนบ่ายๆ เพื่อนร่วมห้องก็คือไอ้บอล (บองหยอย) กับไอ้เสริม (สองคนนี้ฝึกงานคนละที่ บองหยอยฝึกที่เดียวกับผมที่บริษัทแถวพญาไท ส่วนไอ้เสริมฝึกอีกที่นึงแถวราชเทวี แต่เรามาแชร์ค่าห้องด้วยกันเพราะดันไปฝึกงานในย่านธุรกิจซึ่งค่าที่พักแพงโคตร) ตื่นแล้วกำลังนั่งเล่นเกมกันอยู่ ผมอาบน้ำทำธุระส่วนตัวเสร็จก็ชวนสองคนนั้นว่าเฮ้ย วันนี้วันหยุดนักขัตฤกษ์ ออกไปเดินเล่นกันดีกว่า (เป็นของธรรมดาของเด็กบ้านนอกตื่นกรุงอย่างเรา)

ไอ้บองหยอยไม่อยากออกไปไหน ส่วนไอ้เสริมมันขาลุยกับผมอยู่แล้ว ผมกับมันสองคนชอบออกจากหอไปเดินเล่นตอนค่ำๆ และกลับถึงหอตอนตี 2-3 ทุกวัน แถมวันนี้วันหยุดมีรึจะพลาด เราตกลงกันว่าจะไปแถวราชดำเนิน ซึ่งเป็นเส้นทางที่เรายังไม่เคยเดินไปแถวนั้นเลย ผมชวนมันว่า ไปเที่ยวโลหะปราสาทกันดีกว่า เพราะตอนฝึกงานนั่งรถผ่านหลายทีแล้วยังไม่เคยขึ้นไปซักครั้ง (ผมฝึกงานบริษัทแถวพญาไทก็จริงแต่บริษัทต้องไป Service ที่กรมแผนที่ทหารข้างๆ กระทรวงกลาโหมทุกวัน) เราก็เลยเดินออกจากหอที่แยกอุรุพงษ์ เดินยาวผ่านโรงหนังปารีสโผล่แถวแยกภูเขาทอง มองเห็นโลหะปราสาทแล้ว เราก็เดินพรวดพราดเข้าไปทันที

พอกำลังจะเดินขึ้นบันได เจ้าหน้าที่ที่นั่นก็เรียกห้ามทันที เขาบอกว่า

"น้องๆ วันนี้ห้ามขึ้นโลหะปราสาทด้านบน เพราะตอนนี้ในหลวงกำลังเสด็จมาทำพิธีที่เสาชิงช้า"

ตามธรรมเนียมไทยตั้งแต่สมัยโบราณเราถือกันว่าถ้ามีพระเจ้าแผ่นดินเสด็จอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ห้ามอยู่สูงกว่าท่าน ผมกับไอ้เสริมมองหน้ากันทันที ตัดสินใจถามเจ้าหน้าที่

"พี่ครับๆ เสาชิงช้าไปทางไหนครับ"

พี่เจ้าหน้าที่บอกทางให้เดินทะลุถนนตรงข้างอนุสาวรีย์ 14 ตุลาไปเรื่อยๆ จะเจอเอง เราสองคนวิ่งอ้าวจากโลหะปราสาทไปตามทางที่บอกทันที ขณะวิ่งไปก็ถามกันไปว่า เฮ้ย...วันนี้วันอะไรวะ ทำไมในหลวงเสด็จ? แล้วเสด็จไปที่เสาชิงช้าทำไม? พิธีอะไร?

สรุปได้ว่า วันนั้นคือวันที่ 6 เมษายน เป็นวันจักรีนั่นเอง ซึ่งถ้าเคยดูข่าวในพระราชสำนักมาบ้างก็จะรู้ว่าวันนี้พระมหากษัตริย์หรือพระบรมวงศานุวงศ์จะต้องเสด็จไปประกอบพิธีอะไรสักอย่างที่ไหนสักที่ แต่เราก็สงสัยว่า เสาชิงช้าเนี่ยเท่าที่รู้มา ไม่ได้มีการประกอบพิธีอะไรมานานแสนนานแล้วนี่หว่า (ที่จำได้ว่าเคยอ่านในอินเตอร์เน็ต เคยมีพิธีโล้ชิงช้าซึ่งเป็นพิธีพราหมณ์ จัดไปครั้งล่าสุดสมัยรัชกาลที่ 7 โน้น) วิ่งๆ ไปก็สงสัยไปหลายอย่าง คือตลอดทางที่วิ่งมา ไม่เห็นรถติดเลย ไม่เห็นว่าจะมีการจัดงานอะไรแถวนั้นเลยสักนิด นี่เราโดนเจ้าหน้าที่ที่โลหะปราสาทหลอกมั่วเอาป่าววะ

จนมาถึงเสาชิงช้าก็ประจักษ์แก่สายตาครับ...เงียบกริบ ไม่เห็นมีงานอะไรสักอย่างเลย ผมกับไอ้เสริมก็หอบแฮ่กๆ กันพลางมองหน้ากันด้วยความเซ็ง ก็พอดีหันไปเห็นตำรวจแถวๆ นั้นยืนกันเป็นจุดๆ ห่างกันไม่เท่าไร ความรู้สึกแวบมาว่า เฮ้ย สถานที่อาจจะผิด แต่กูว่าต้องมีงานอะไรสักอย่างแถวๆ นี้แน่ๆ เลยวิ่งไปถามตำรวจว่า พี่ครับๆ เห็นเขาว่ามีงานพิธีอะไรแถวนี้เหรอครับ

ตำรวจบอกว่า

"มีครับน้อง ตอนนี้ในหลวงกับพระราชวงศ์กำลังเสด็จอยู่ที่พระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 1 เชิงสะพานพุทธฯ ถ้าอยากรับเสด็จน้องรีบไปเลย"

แค่นั้นแหละครับเราสองคนออกวิ่งกันแบบไม่ต้องหารือ ระยะทางจากเสาชิงช้าไปสะพานพุทธฯ นี่ไม่ใช่ใกล้นะครับ ตอนแรกเราเดินจากหอมาราชดำเนินนอกแบบสบายๆ เลยไม่เหนื่อย พอวิ่งจากโลหะปราสาทมาเสาชิงช้ามันก็ยังไม่ถือว่าไกลมาก แต่จากจุดนี้ไปนี่ต้องออกทางแพร่งอะไรสักอย่าง (จำชื่อไม่ได้) วิ่งๆ มาเรื่อยๆ จนถึงกรมแผนที่ทหาร เลี้ยวซ้ายวิ่งเลียบข้างวัดพระแก้ว, วัดโพธิ์ไปเรื่อยๆ จนข้ามแยกหน้าโรงเรียนราชินีไปจนถึงหัวมุมที่จะเลี้ยวไปปากคลองตลาด ผมสองคนก็โดนตำรวจสั่งเรียกให้หยุด...

บริเวณนั้นมีการเตรียมเส้นทางเสด็จแล้ว ประชาชนที่อยู่ข้างทางทั้งหมดถูกสั่งให้ยืน มีผู้ชายคนหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับที่ผมหยุดยืนแกนั่งลงบนแคร่หน้าร้านขายของ ตำรวจที่อยู่กลางแยกเห็น หันมาเป่านกหวีดดังลั่นและชี้นิ้วสั่งทันทีด้วยประโยคที่ผมยังจำได้แม่น

"ลุกขึ้นยืนเดี๋ยวนี้ เราขอความร่วมมือถวายเกียรติแก่พระองค์ท่านเพียงแค่ไม่กี่นาทีที่เสด็จผ่านเท่านั้นเองนะครับ ไม่มีสถาบันไหนจะสูงส่งไปกว่านี้อีกแล้ว กรุณาปฏิบัติตามด้วยครับ"


หลังจากนั้นไม่กี่นาที ขบวนเสด็จก็ออกจากสะพานพุทธฯ ผ่านหน้าพวกเราไปทีละคัน จากรถตำรวจนำขบวน จนมาถึงรถยนต์พระที่นั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆ ผมอยู่ด้านเดียวกับที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับ ในเสี้ยววินาทีที่ผมโค้งตัวลงถวายคำนับและเงยหน้าขึ้นมา...ผมได้เห็นพระพักตร์ของพระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่เคารพรักยิ่งเหนือสิ่งอื่นใด ทรงทอดพระเนตรมาที่ฝูงชนด้านที่ผมยืนอยู่ พระองค์ทรงโบกพระหัตถ์ช้าๆ และทรงแย้มพระสรวลเล็กน้อย ท่ามกลางเสียงผู้คนที่ร้องว่า ทรงพระเจริญ ดังก้องอยู่เต็มสองหูของผม


ผมรู้สึกวูบเหมือนจะเป็นลม ก็พอดีได้ไอ้เสริมคว้าแขนไว้ก่อนจะล้มหงายหลัง หลังจากรถพระที่นั่งของในหลวงและราชินีเคลื่อนผ่านไปแล้ว ก็เป็นรถพระที่นั่งของพระบรมวงศานุวงศ์แต่ละพระองค์ ตามท้ายด้วยขบวนรถของผู้ติดตาม เมื่อขบวนทั้งหมดผ่านไปแล้ว ประชาชนที่เฝ้ารับเสด็จก็ต่างพากันแยกย้าย ตำรวจเปิดเส้นทางให้รถยนต์โดยสารตามปกติ เราสองคนก็เดินออกจากปากคลองตลาดกลับหอด้วยเส้นทางเดิม แต่ความรู้สึกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ผมถามมันว่า มึงรู้สึกยังไงตอนนั้น ไอ้เสริมตอบผมว่า กูก็เหมือนมึงแหละ แต่กูเห็นมึงวูบก่อนกูเลยคว้าไว้ ไม่งั้นก็คงวูบทั้งคู่

นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิต และครั้งเดียวจนถึงวันนี้ ที่ผมได้มีโอกาสเฝ้ารับเสด็จในหลวงอย่างแท้จริง มันเป็นความประทับใจ ความปลาบปลื้มปีติ ความรู้สึกที่เอ่อล้นจนไม่สามารถอธิบายได้ถูก ผมกลับมาเขียนบันทึกเหตุการณ์วันนั้นไว้ในสมุดบันทึกฝึกงาน (เสียดายที่ส่งอาจารย์ไปแล้วไปไงต่อก็ไม่รู้) และโทรไปเล่าให้แม่ฟัง ตอนเล่าก็คิดย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเย็นนั้น น้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว แม่บอกว่า เป็นบุญแล้วลูก โชคดีมากๆ

จนถึงวันนี้...ผ่านไปเกิอบสิบปีแล้ว แต่นึกถึงเหตุการณ์วันนั้นทีไร ก็ยังคงรู้สึกอิ่มเอมในหัวใจอย่างไม่รู้หาย ภาพทุกภาพ ทุกความรู้สึก ยังแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำ เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เองครับ

เป็นหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่สุดในชีวิตที่เกิดขึ้นกับผม และเป็นหนึ่งความทรงจำที่ผมไม่มีวันลืมครับ.


ตำแหน่งที่ยืนรับเสด็จโดยประมาณ ปัจจุบันเป็นธนาคารกรุงไทยสาขาปากคลองตลาด
(ภาพจาก Google Street View)

03 ธันวาคม 2555

168 | เบียร์ดำ (แหวะ)

เกิดความคึกคะนองไปลองซื้อเบียร์ดำมาครับ หลังจากที่เคยเห็นโฆษณามาตั้งนานจนเขาเลิกขายไปแล้ว (เบียร์กินเนส) พอดีว่าไปเจอที่ Tesco Lotus ขายอยู่ ชั่งใจหลายสัปดาห์แล้วก็ เอาวะ ลองๆๆๆ


ยี่ห้อ COOPERS ครับ ขวดละ 100 นิดๆ จำไม่ได้ว่าเท่าไร ขนาด 375 ml ก็ไม่เยอะมาก


ของออสเตรเลียครับ


แอลกอฮอล์ 6.3% ก็ไม่ต่างกับเบียร์ช้างเท่าไร


เทออกมานี่รู้สึกได้เลยว่ามันหนืดกว่าเบียร์ตลาดนิดหน่อย สีโคตรน่ากลัว ขนาดฟองยังดำๆ ขุ่นๆ เลย


แก้วร้านเหล้าธรรมดาก็เทได้ 2 แก้วนิดๆ ครับ


ก่อนกินก็ลองหาข้อมูลในเน็ตก่อน ไปเจอรีวิวใน เว็บนี้ ผมลองก็อปมาให้อ่านดูครับ เขาบอกว่า...

กลิ่นคาราเมล ( คั่วมอลท์เข้มๆ ) ทอฟฟี่ ผลไม้สายกล้วยๆ ฮอปขมปี๋ 

พอจิบเข้าไปก็พยายามจะนึกถึงรสชาติของไอ้พวกที่เขาบอกอะนะครับ ทั้งคาราเมล, มอลต์, ทอฟฟี่ หรือผลไม้สายกล้วยๆ (ฟังดูยังกะพวกขนมเค้ก) ไม่เห็นรู้สึกซักกะนิด สิ่งที่มีอย่างเดียวคือ ขม...ขม...ขม...

ถ้าจะให้ผมลองอธิบายรสชาติมั่ง ก็คงได้ประมาณว่า
  • ตัวเนื้อเบียร์ออกจะข้นกว่าเบียร์สีเหลืองตามตลาดอยู่นิดหน่อย
  • น้ำเป็นสีดำขุ่นคล้ายๆ เป็ปซี่ มีตะกอนผงๆ ปนมานิดหน่อยไม่รู้ว่ามาจากอะไร (ไม่ได้อธิบายข้างขวดเหมือนชาเขียว 555555+)
  • ดื่มเข้าไปจะรู้สึกเฉยๆ ไม่บาดคอ แต่พอเริ่มรู้สึกถึงรสชาติ สิ่งแรกที่เจอคือความขม
  • ไม่ได้ขมแบบเบียร์ซะด้วย ขมแบบใบสะเดาอะไรทำนองนั้น
  • แต่ก็ไม่ได้ขมถึงขนาดกลืนไม่ได้ ยังคงกลืนลงคอได้อย่างง่ายดาย
สรุป : ไม่ชอบครับ กินเอาความรู้ก็โอเค แต่กินหนักๆ เหมือนปกติคงไม่ไหว แพงด้วย