หน้าเว็บ

24 กุมภาพันธ์ 2552

056 | กัวซา

เมื่อวันก่อนไปเยี่ยมร้านใหม่ของพี่โก้ ที่ตลาดร้อยปีริมน้ำมาครับ



ชื่อร้าน กัณฐ์มณี (ป้ายสวยมาก)

ร้านที่ว่านี้เป็นการบริการบำบัดโรคด้วย "กัวซา" ครับ



แล้วกัวซาคืออะไร จะอธิบายก็กลัวจะงง ขอ copy มาจากเว็บอื่นละกันนะครับ

การบำบัดโรคด้วยกัวซา
(copy จากเว็บ http://www.qigongthai.com/index.php?name=knowledge&file=readknowledge&id=33)

"กัวซา" คือภูมิปัญญาแพทย์พื้นบ้านที่ตกทอดมาตั้งแต่โบราณแบบหนึ่งของชาวจีน กัวซาเป็นผลผลิตจากภูมิปัญญาและประสบการณ์ที่สะสมมายาวนานหลายพันปีของ บรรพบุรุษชาวจีน แพร่หลายกว้างขวางในหมู่ประชาชนทั่วไป มีประสิทธิภาพที่โดดเด่นในการรักษาอาการไข้แดด และไข้หวัดได้อย่างรวดเร็ว ในอดีต กัวซาใช้อุปกรณ์ที่เรียบง่ายมาก เช่น เหรียญทองแดง ช้อน หรือชาม มาจุ่มเหล้าหรือน้ำ หรือน้ำมันก็สามารถ "กวาด" บนผิวหนังได้แล้ว และผลการบำบัดที่ได้ก็ดีมาก เนื่องจากผลการรักษาที่ง่ายที่สุด ดีที่สุดและพื้นฐานที่สุด กล่าวได้ว่า จักกันดี ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ จุดเด่นของ กัวซา -วิธีที่เรียบง่าย -ไม่มีผลแทรกซ้อนใดๆ -ทำได้ทุกเวลาและสถานที่ -ขูดผ่านเสื้อผ้าได้ทุกตำแหน่ง

อีกเว็บหนึ่งอธิบายละเอียดพร้อมภาพประกอบด้วย : http://arokayahouse.com/tips02.html

ส่วนภาพต่อไปนี้คือของจริงที่ผมไปลองครับ



ตอนแรกขูดบริเวณหัวและหน้าครับ



แล้วก็ไล่ลงไปบริเวณแผ่นหลัง



ดูหลังผมดิครับ แดงได้สยดสยองมาก
(แต่คนทำเขาบอกว่าไม่เป็นอะไร สุขภาพปกติดี ซึ่งผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้อะนะ 555)



หน้าร้านที่ตลาดร้อยปี

ก็มาแนะนำสำหรับคนรักสุขภาพทั้งหลายนะครับ ส่วนทำแล้วจะได้ผลหรือไม่ หรือว่าสันนิษฐานโรคออกมาแล้วจะตรงหรือเปล่า...อันนี้แล้วแต่ความเชื่อส่วนบุคคลครับ
แต่สำหรับผมก็คิดว่า มันก็เป็นการผ่อนคลายที่ใช้ได้เหมือนกัน ..คล้ายๆ นวดจับเส้นแหละครับ แต่อันนี้ มัน กว่าเยอะ

แถม : วันนี้เมื่อตอนบ่ายคุยกับ อ.น้าศรี (ผศ.ณัฐธยาน์ ศรีพุธสมบูรณ์) ที่สอนวิทย์สุขภาพ อ.บอกว่า ทำแล้วได้ผลดีจริงในเรื่องผ่อนคลาย และเราสามารถทำกัวซาได้ด้วยตนเองอีกต่างหาก (แต่ผมไม่ค่อยกล้าเสี่ยงอะครับ 5555)

20 กุมภาพันธ์ 2552

055 | ลาแล้วลาที ปีซี้สี่

เมื่อวานไปงาน Bye'nior ของสาขาวิชาฯ มาครับ

เป็นครั้งที่ 6 นับตั้งแต่เรียนปี 1 ที่มีโอกาสได้ไปร่วมงานนี้ แต่ถ้านับตั้งแต่เป็นอาจารย์แล้ว ปีนี้เป็นปีที่สองครับ เพราะปีที่ผ่านๆ มา งานจัดชนวันที่ผมไปเรียนต่อก็เลยพลาดซะหลายครั้งเลย

ปีนี้จัดที่ลานหน้าหอวัฒนธรรมครับ (ที่เดียวกับสมัยที่รุ่นผมเป็นแม่งานจัดตอนอยู่ปี 3) แต่ลักษณะงานต่างกันมากมาย ยกตัวอย่างเช่น
1. อาหาร
พ.ศ.2546 :
รุ่นผมจ้างภัตตาคารหงษ์ฟ้า โดยมีเหตุผลจากคณาจารย์ว่า งาน Bye'noir เป็นงานสำคัญของสาขาฯ และเป็นงานกลางคืนซึ่งรูปแบบงานควรเป็นสากล เพราะฉะนั้นอาหารที่เลือกมาในงานจึงควรมีระดับ อีกอย่างคืองานจัดปีละครั้ง เราก็จะได้ทานอาหารหรูๆ ปีละครั้งซึ่งก็เป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากสำหรับฐานะของนักศึกษาอย่างเราๆ แต่ที่สำคัญคือราคา เพราะต้องเลือกเอาคอร์สที่ไม่เวอร์จนเกินตัว และพอที่จะจ่ายได้
พ.ศ.2552 :
จ้างร้านอะไรก็ไม่รู้ (จากที่ไหนก็ไม่รู้อีก) คุณภาพอาหารค่อนข้างน่าตกใจ (ผมตกใจตั้งแต่คุณภาพของโต๊ะแล้ว เพราะมันกรอบจนเกือบหัก) เฉพาะโต๊ะผมมีปลาราดพริกที่ไม่สุก, หมูผัดพริกที่เหมือนข้าวราดแกง และออเดิฟปอเปี๊ยะซึ่งบูดเสียแล้ว อาหารที่ปลอดภัยที่สุดคือปลาช่อนแป๊ะซะ เพราะมาในถาดร้อนๆ จุดแอลกอฮอล์เหลว
(ด้วยพิษปอเปี๊ยะบูด ทำให้ผมต้องขาดงานไำป 1 วันก็คือวันนี้เอง)



ขวามือของภาพคือปอเปี๊ยะ จำเลยของงานนี้

2. ความบันเทิงบนเวที
พ.ศ.2546 :
จ้างวงดนตรีของ นศ.สาขาดนตรีของมหาวิทยาลัยฯ ในราคาเป็นกันเอง (แถมโต๊ะจีนให้ด้วย) มีดนตรีสด + เครื่องไฟ + คาราโอเกะครบครัน
พ.ศ.2552
วงดนตรีจากที่ใดมิทราบได้ แต่ปัญหาที่พบคือเขาลองเครื่องไฟกับเครื่องเสียงบ่อยเหลือเกิน จนงานเริ่มแล้วเครื่องเสียงก็ยังไม่พร้อมเสียที แต่วงดนตรีของนักศึกษาในสาขาวิชาฯ เล่นดีมากๆ ครับ ชื่นชมเลย
(วงหนึ่งน่าจะเป็นปี 2 เพราะมีเด็กที่ผมสอนเล่นกีตาร์กับกลองอยู่ เล่นไม่ลื่นนักแต่เพลงโดนใจสุดๆ ส่วนอีกวงหนึ่งดูเหมือนจะเป็นเด็กปี 1 วงนี้เล่นเก่งเหลือร้าย แต่นักร้องนำดูเหมือนจะมีปัญหานิดหน่อย 555)

3. พิธีการ
พ.ศ.2546 :
มีการแสดงรำอวยพรของน้องๆ และการแสดงของน้องแต่ละชั้นปีให้ดูกัน คั่นด้วยพิธีการคือ หัวหน้าสาขาฯ กล่าวอวยพร, ประธานรุ่นปี 3 ที่จัดงานกล่าวอวยพรรุ่นพี่ และพิธีผูกข้อมือบายศรีสู่ขวัญ
พ.ศ.2552 :
มีการแสดงของน้องๆ แต่ละชั้นปี, วงดนตรีของน้องปี 2 และปี 1 และการแสดงของพี่ปี 4 ให้น้องๆ ดู (ที่กล่าวมาทั้งหมดดีมากๆ ครับ) คั่นด้วยพิธีการคือ ผูกข้อมือบายศรีสู่ขวัญ...ซึ่งตรงนี้แหละครับที่เปลี่ยนบรรยากาศของงานไปพอสมควร เพราะหมอทำขวัญทำพิธีนานมากๆๆๆๆๆ พิธีการเป็นสิ่งที่ดีครับแต่ถ้าใช้เวลานานเกินไปหรือยืดเยื้อเกินไปอาจทำให้ผู้มาร่วมงานเกิดความรู้สึกแปลกๆ เช่นผมเป็นต้น

ก็บ่นๆ ไปพอเป็นพิธีละครับ ในฐานะอาจารย์และรุ่นพี่ ก็หวังว่ารุ่นต่อๆ ไปจะเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นในการรับผิดชอบงานสเกลใหญ่ และนำไปปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นครับ

เสร็จงานพิธีการก็อย่างว่าแหละครับ ไปต่อกันแน่นอน ซึ่งงานนี้ผมก็ไม่พลาดเช่นกัน (ตอนนั้นปอเปี๊ยะยังไม่ออกฤทธิ์) ตอนแรกตั้งใจว่าจะไป D แต่เพื่อนล้อคดันทำบัตรประชาชนหาย ไปยืมบัตรคุณ joice มาก็เข้าไม่ได้ เพราะเป็นบัตรเก่าซึ่งหมดอายุไปเป็นสิบปีแล้วอีก (กรำ) เลยเปลี่ยนใจไป in door กับน้องๆ ลูกศิษย์ IT ปี 4 ที่เคหะฯ ครับ



ดูเ้หมือนจะเมากันเยี่ยงสุนัขกันเลยทีเดียว
(ถอดเสื้อหาได้อนาจารไม่ เพราะห้องร้อนมากแถมเปิดประตูไม่ได้อีก เดี๋ยวห้องอื่นจะด่าว่าเสียงดัง)



เมาอะไรที่ไหน เห็นขวดบิ๊กเจกับเป๊ปซี่มั้ยครับ (ระหว่างสองขวดนี้มีอะไรซ่อนอยู่ ???)

ก็เฮฮากันตามประสาเด็กคอมฯ ละครับ กว่างานเลี้ยงจะเลิกราก็เกือบตี 3 ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน ปอเปี๊ยะก็แผลงฤทธิ์จนสิ้นท่า มาฟื้นแรงเอาตอนบ่ายสองของวันนี้เลยละครับ 55555

...

สุดท้ายของ Entry ขออวยพรให้นักศึกษาที่กำลังจะเป็นบัณฑิตทุกคน จงเร่งทำโปรเจ็คให้เสร็จเร็วๆ จบไปก็ขอให้ได้งานดีๆ ทำเร็วๆ และประสบความสำเร็จในอนาคตทุกคนครับ.

14 กุมภาพันธ์ 2552

054 | Valentine's Day

วันวาเลนไทน์แล้วครับ
เชื่อว่าวันนี้คงเป็นวันที่วัยรุ่นในไทยให้ความสำคัญมากเป็นอันดับต้นๆ พอๆ กับวันลอยกระทง, วันเกิดตัวเอง, วันเกิดแฟน, (คืน)วันสิ้นปี อะไรพวกนี้ ไม่แปลกหรอกครับ เพราะถึงผมจะอายุเลยวัยรุ่นไป 2-3 ปีแล้ว ผมก็ยังคงบ้าเห่อวาเลนไทน์พอๆ กับเด็ก ม.ปลายเลยแหละ
เพราะอะไรละอ่อนน้อยทั้งหลายจึงฟีเวอร์วันแห่งความรักนี้มากมายเหลือเกิน ก็คงจะเป็นเพราะเหตุผลหลายๆ อย่างอีกนั่นแหละ ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะ :

- วันนี้เป็นวันแห่งความรัก (ซึ่งดูเหมือนจะไม่ค่อยเกี่ยวกับความเป็นมาและโศกนาฏกรรมของ Saint Valentine เท่าไรแล้ว)
- วันนี้ต้องแสดงความรัก ถ้าโชคดีก็คงจะได้สารภาพรัก
- วันนี้จะได้เช็คเรตติ้งอย่างเปิดเผย (ผมเคยได้ดอกกุหลาบ หรือลูกอม หรือพวกดาวในขวดโหลมาหลายปีติดต่อกันโดยมักจะไม่ทราบที่มา ซึ่งก็เป็นความภูมิใจแบบที่มีได้ปีละครั้ง)
- วันนี้เธคคนเยอะ (เหมือนคืนวันสิ้นปี บางที่ลดราคาบัตร, มิกเซอร์, เหล้าเบียร์อีก มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ไป)
- วันนี้อาจได้หิ้วสาว (สำหรับชายหื่น) หรืออาจได้สูบบุรุษ (สำหรับสาวหื่นหรือสาวเทียม)

ดูไปแล้วเหตุผลดีๆ ไม่ค่อยมีเลยนะครับเนี่ย

แต่อย่างน้อยๆ วันนี้ก็จะเป็นอีกวันหนึ่งที่เราจะได้แสดงความรักได้อย่างเปิดเผย ความรักเป็นสิ่งที่ดีครับ ไม่ว่าจะรักแบบไหน แบบครอบครัว แบบพี่น้อง แบบเพื่อนฝูง หรือแบบคนรู้ใจ แต่ที่สำคัญคือ รักแล้วต้องจริงใจครับ ไม่ใช่แค่แสดงออก จริงมั้ยอะ




เมื่อตอนเที่ยงคืน โลโก้ในเพจแรกของ Google กลายเป็นภาพนี้ครับ ซึ่งผมคิดว่าสวยมากๆ ลองดูที่เว็บอื่นๆ ก็มีการเปลี่ยนโลโ้ก้ต้อนรับวันวาเลนไทน์เหมือนกัน สวยๆ ทั้งนั้นเลย

สุดท้ายก็ต้องเป็นเพลงครับ สำหรับวันแห่งความรักปีนี้ ผมนึกถึงเพลงนี้เป็นเพลงแรกครับ


เธอคือความฝัน - พราว

ขอให้ทุกคนสมหวังในรักแท้ครับ God Bless You in Valentine's Day, with love.

13 กุมภาพันธ์ 2552

053 | ศุกร์ 13

วันนี้วันศุกร์ที่ 13 ครับ เขาว่ากันว่าวันนี้ไม่ค่อยดี
ไม่ดียังไง เพราะว่ามันเ็ป็นวันศุกร์ แล้วก็เป็นวันที่ 13 ด้วย ฝรั่งเขาถือด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง เ่ช่น

- พระเยซูโดนตรึงกางเขนในวันศุกร์
- พระกระยาหารมื้อสุดท้าย (The Last Supper) มีพระเยซูและสาวกร่วมรับประทานอาหารกัน นับได้ 13 คน

อันนี้เป็นตัวอย่างเฉพาะศาสนาคริสต์นะครับ ยังมีตัวอย่างอีกมากมายที่สืบทอดมาจากหลายๆ ตำนานของชาวตะวันตกในสมัยโบราณ ไปๆ มาๆ เลข 13 ก็เลยเป็นเลขไม่ดีไป สังเกตได้จากสถานที่หลายๆ แห่ง เช่น โรงแรม จะไม่มีชั้น 13 อาจจะเขียนเป็น 12A อย่างนี้ และถ้าในอาคารมีหลายห้องก็มักจะข้ามลำดับห้องที่ 13 ไปเลยด้วย

ด้วยเหตุผลที่เป็นความเชื่อเหล่านี้ก็เลยเกิดการโยงเหตุไปกับเหตุการณ์ที่เป็นอุบัติเหตุ หรือเหตุการณ์อัปมงคลอื่นๆ ที่มักจะมาเกิดในวันศุกร์ที่ 13 ด้วย ซึ่งนักจิตวิทยาจะมองว่าเป็นสิ่งที่เกิดจากอาการวิตกจริตของคนที่มีความเชื่อเกี่ยวกับอาถรรพ์นี้เป็นอย่างมากจนทำให้ประมาทหรือพลาดจนเกิดอุบัติเหตุได้ (เหมือนกับเวลาที่มีเรื่องกังวลใจหรือกลุ้มใจอยู่ ทำอะไรก็มักจะไม่ค่อยดี เป็นต้นครับ)

ก็เล่าๆ มาเป็นความรู้ให้พอมีประโยชน์กับ Blog บ้าง แต่จริงๆ ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่มาเขียนเป็นที่ระลึกในวันแบบนี้ที่นานๆ จะมีสักทีแค่นั้นเองครับ
... ที่สำคัญ ในวันนี้คงไมค่อยมีใครกังวลเรื่องนี้มากนัก เพราะว่าพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันเสาร์ที่ 14 แล้ว

14 กุมภาพันธ์ : วันวาเลนไทน์
วันเสาร์ : วันหยุด

โอ้เย 55555

ป.ล. ตอนที่เขียน Entry นี้ครั้งแรก ใช้ IE แล้วเครื่องแฮงค์ จนต้อง DL Firefox มาลงแล้วเขียนใหม่ เกี่ยวกับศุกร์ 13 มั้ยหว่า

10 กุมภาพันธ์ 2552

052 | Ubuntu on My Desktop

วันนี้ใช้ Ubuntu ครับ
แม้ว่างานส่วนใหญ่ต้องทำบน MS Windows XP แต่ผมก็จะลง Ubuntu ไว้ในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่ใช้งาน (ยกเว้นเครื่อง Desktop ที่บ้านเครื่องเดียว เพราะต้องใช้เนื้อที่ HDD ไว้โหลดบิต 5555) และก็จะเปลี่ยนมาใช้ Ubuntu เสมอๆ เวลาไม่ค่อยมีงานที่จำเป็นนัก เหมือนอย่างเช่นวันนี้ครับ



Desktop ใช้ Gnome ส่วนพื้นหลังเป็นแมวของโปรดครับ

รอบนี้ผมลง Ubuntu Desktop ใช้เวอร์ชัน 8.10 Intrepid Ibex โดย DL เป็นไฟล์ iso มา แล้วใช้ Wubi ติดตั้งเลย (ขี้เกียจแบ่งพาร์ติชัน) ใช้เวลาติดตั้งไม่นานครับ
มานานอีตอน Update Repository นี่แหละ เป็นวันเลย ถึงจะแก้ sources.list ให้เป็นไทยแล้วก็เหอะ (หมายถึงไปแก้ใน /etc/apt/sources.list ให้เป็น th ทั้งหมด) แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงช้ามากมายขนาดนั้น
ผมก็เลยหยุด Update แล้วไป apt-get เอาโปรแกรมสำคัญๆ ที่ต้องใช้ ได้แก่

- Codec ของพวก mp3 เดี๋ยวฟังเพลงไม่ได้
- โปรแกรม Download Manager
- โปรแกรม Audacity เอาไว้ตัดต่อเพลงทำ Ringtone (งานอดิเรก)

แค่นี้ก็จะหมดวันแล้วครับ สงสัยวันนี้เน็ตที่มหาลัยจะช้ามากไปหน่อย พรุ่งนี้ผมกะจะ DL เกมมาเล่น (อยากเล่น Tremulous ที่คุณ gumara แนะนำไว้ใน Ubuntuclub ง่ะ)
สรุปวันนี้สนุกกับ Linux มากครับ

08 กุมภาพันธ์ 2552

051 | เขาหน่อ-เขาแก้ว

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาไปสอบคอมพลี (รอบที่ 3) ที่ มน.มาครับ
สอบเสร็จตั้งแต่เที่ยงขากลับเลยอยากหาที่แวะเที่ยว ก็นึกถึงเขาหน่อ-เขาแก้ว ที่ไม่ได้ไปมานานแล้ว วันนี้เวลาเหลือเยอะเลยขอไปอยู่นานๆ หน่อย



ที่เขาหน่อมีลิงเยอะมากครับ แล้วตอนที่ไปมีกรุ๊ปทัวร์ของฝรั่งมาลงพอดี เขาก็ซื้ออาหารเลี้ยงลิงกันหนุกหนาน



เลยจากจุดท่องเที่ยวเข้าไปจะเจอวัดเขาหน่อครับ ที่วัดนี้มีเขาลูกหนึ่งชื่อเขานางพันธุรัต

นางพันธุรัตเป็นใคร ?
(จาก http://th.wikipedia.org)

"นางพันธุรัตเป็นยักษ์ ได้รับพระสังข์มาเป็นบุตรบุญธรรมโดยนางและบริวารแปลงร่างเป็นมนุษย์ วันหนึ่งพระสังข์ได้เข้าไปในเขตหวงห้าม จึงรู้ว่านางพันธุรัตเป็นยักษ์ก็คิดหลบหนี พระสังข์ได้เข้า ไปในเขตหวงห้ามลงไปชุบตัวในบ่อทองเอาชุดเจ้าเงาะและของวิเศษเหาะหนี นางพันธุรัตกลับมา ไม่พบพระสังข์ก็ออกตาม นางพยายามอ้อนวอนให้พระสังข์กลับ แต่ไม่เป็นผลนางพันธุรัตเสียใจ จนอกแตกตาย"

บางคนอาจจะงงว่า อ้าวแล้วมาเกี่ยวอะไรกับนิทานเรื่องสังข์ทอง คือในนิทานเรื่องนี้มีเหตุการณ์และสถานที่เกี่ยวโยงกับ จ.นครสวรรค์อยู่หลายที่ ได้แก่
อ.บรรพตพิสัย
เขาหน่อ - พระสังข์หนีนางพันธุรัตมาหลบที่นี่
เขานางพันธุรัต - มีแท่นหินที่จารึกมนต์เรียกเนื้อเรียกปลาของนางพันธุรัต
อ.ตาคลี
ชื่ออำเภอ - เมื่อก่อนชื่ออำเภอตีคลี แล้วก็เพี้ยนมาเป็นตาคลี
ลานตีคลี - สถานที่ๆ พระสังข์มาตีคลีแข่งกับพระอินทร์

ส่วนที่เขาหน่อนี้ เขาเล่ากันมานานแล้วครับว่า ที่นี่มีแท่นหินที่นางพันธุรัตเขียนมนต์เรียกเนื้อเรียกปลาไว้ให้พระสังข์ก่อนตาย ซึ่งผมก็ได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วครับ แต่ไม่รู้ว่าของจริงอยู่ตรงไหน พอดีว่า ที่นี่เขาทำบันไดทางเดินไว้ให้สำหรับเดินขึ้นไปดูแท่นหิน ความยาว 300 เมตร ก็เลยเดินขึ้นไปดู

  

บรรยากาศสองข้างทางระหว่างเดินขึ้นเขาครับ อากาศดี วิวสวย
(มีเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่เดินตามหลังมา บ่นกันว่า ที่นี่น่าเที่ยวกว่าหอคอยบ้าอะไรไม่รู้ที่เก็บตังค่าขึ้นด้วย 555)




นี่คือบรรยากาศตอนที่ขึ้นไปถึงยอดแล้วครับ สูงมากและก็โคตรหวาดเสียวเลย
(จุดสูงสุดของเขาที่เป็นลานหินนี้ต้องปีนขึ้นไปเองนะครับ ไม่มีบันไดแล้วก็ไม่ค่อยมีที่เกาะด้วย เสียวสุดๆ)



แท่นหินของนางพันธุรัตหน้าตาเป็นแบบนี้ครับ ดูๆ เหมือนเป็นซากของสิ่งก่อสร้างสมัยโบราณซะมากกว่า

ลุงเฝ้ารถที่วัดเล่าให้เราฟังว่า ลานตรงนี้เป็นที่ๆ เขาเอาศพนางพันธุรัตมาเผาหลังจากตายแล้ว และบริเวณลานก็จะมีต้นหญ้าแห้งๆ ต้นเล็กๆ ขึ้นอยู่นิดหน่อย ซึ่งไม่ว่าฝนจะตก อากาศจะเปลี่ยนไปฤดูไหน หญ้าตรงนี้ก็จะแห้งๆ อยู่แบบนี้โดยไม่เขียวครับ คนแถวนี้จะขึ้นไปเก็บหญ้าลงมาต้มกินอยู่เรื่อยๆ เขาบอกว่าเป็นยาครับ



สำนึกผิด...ก็หาไม่ 55555

เมื่อก่อนเขาจะพูดกันว่าลิงเขาหน่อดุมากกกกก แต่จริงๆ แล้วไม่ดุหรอกครับ คนที่ไปเที่ยวนั่นแหละที่ไปทำให้ลิงมันดุ
(ที่เห็นกับตาคือ เด็กยืนมองลิงอยู่ แล้วจู่ๆ พ่อของเด็กก็ถือไม้มาไล่ตีลิง ขนาดลิงปีนหนีขึ้นไปบนหลังคาแล้วยังจะตามเอาหินไปขว้างไล่มันอีก ลิงมันทำอะไรให้เนี่ย)

ไหนๆ ก็มาเขาหน่อแล้ว ผมก็เลยรอดูของดีอีกอย่างหนึ่งครับ นั่นก็คือตอนเย็นๆ ค่ำๆ จะมีฝูงค้างคาวที่อยู่ในถ้ำในเขาหน่อ ออกไปหากินตอนกลางคืน ซึ่งจะบินออกมาเป็นล้านๆ ตัวนะครับ ค้างคาวเนี่ยจะออกทุกวัน และจะค่อนข้างตรงเวลาซะด้วย (วันที่ผมไปจะอยู่ที่ประมาณ 6 โมงเย็นกว่าๆ)



ออกมาแว้วครับ สองทางเลย



ใครว่างๆ ตอนเย็นๆ ลองขับรถไปปิคนิคทานข้าวเย็นนอกสถานที่ดู ใช้ได้เลยแหละครับ

02 กุมภาพันธ์ 2552

050 | เงินกับอนาคต

... วันนี้นอนไม่หลับครับ สงสัยนอนมาทั้งวันแล้ว
มานั่งคิดๆ ถึงอดีต และอนาคต จนถึงวันนี้ ผมจบปริญญาตรี แล้วก็ทำงานมาได้ 4 ปีแล้ว
แต่ยังรู้สึกว่าตัวเองยังไปไม่ถึงไหนเลย เหมือนกับว่าที่ผ่านๆ มา กินๆ เที่ยวๆ เล่นๆ ไปเรื่อยๆ มานานเหมือนกัน แถมยังไม่เคยคิดถึงอนาคตอีกด้วย

อันที่จริงแล้ว เมื่อก่อนผมเคยมีความคิดว่า เงินทองจะมีมากน้อยมันไม่สำคัญ เท่ากับการที่เราได้ใช้ชีวิตให้คุ้มค่ากับเวลาที่มีอยู่

ผมทำงานครั้งแรกในชีวิต ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่พัฒนาระบบงาน หรือจริงๆ ก็คือโปรแกรมเมอร์ รับเงินเดือน 8,000 บาทถ้วน
ช่วงแรกๆ เงินเหลือใช้ครับ ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร เลยซื้อของเล่นสะสมซะเยอะ (พวก Figure ตัวละ 1,000-2,000) แล้วก็สะสม DVD หนัง แบบว่าซื้อทุกวัน วันละแผ่นสองแผ่น ขนาดนั้น

ทำงานไปไำด้เกือบปี ก็เปลี่ยนงานมาเป็นอาจารย์ รับเงินเดือนน้อยลงมาหน่อย ประมาณ 7,000 กว่าบาทตามวุฒิ
ก็ยังถือได้ว่าสบาย ไม่เคยต้องลำบากเรื่องเงิน แถมช่วงแรกๆ ผมสอนภาคบ่าย, ภาคเสาร์อาทิตย์ ได้ค่าสอนเพิ่มอีก บางทีก็ไปเป็นวิทยากรตามโรงเรียน ได้ค่าวิทยากรอีกไม่น้อย รวมๆ แล้วมีรายรับเฉลี่ยเดือนละเป็นหมื่น อยู่ได้สบายครับ
(จำได้ว่าช่วงนั้นยังเคยบ่นถึงพวกเพื่อนๆ ที่ไปทำงานกรุงเทพฯ ว่าเงินจะไปพอใช้ได้ยังไง อยู่บ้านเรานี่แหละสบายสุดแร้ว)
จนเป็นอาจารย์มาได้ 1 เทอม ผมก็ต้องไปเรียนต่อปริญญาโท ซึ่งผมเลือกเรียนภาคพิเศษ (เรียนเสาร์-อาทิตย์) เพราะไม่อยากเสียงานที่ทำอยู่ และก็ไม่อยากออกมาเรียนเฉยๆ อย่างเดียวเพราะเกรงจะเป็นภาระทางบ้าน
คราวนี้แหละครับที่ภาวะเงินฝืดเริ่มก่อตัว เพราะว่าผมไม่ได้สอนภาคเสาร์-อาทิตย์อีก รายได้ก็เลยหายไปส่วนหนึ่ง (แต่บางเทอมยังได้สอนภาคพิเศษที่ต้องขับรถไปสอนตามอำเภอต่างๆ เอง ซึ่งรายได้จุดนี้ผมไม่เคยนับเพราะถือว่าไปสอนเพราะอุดมการณ์ 5555+) แถมภาคบ่ายก็ไม่มีนักศึกษาให้สอนอีก รายรับก็เลยเหลือแต่เงินเดือนเพียวๆ
ไอ้การไปเรียนโทที่มหาวิทยาลัยที่อยู่คนละจังหวัดนี่เสียค่าใช้จ่ายไม่น้อยเลยนะครับ ไปๆ มาๆ เงินเดือนผมกลับไม่พอใช้ ต้องพึ่งพาเงินทางบ้านช่วยเหลืออยู่เป็นระยะๆ ซึ่งก็พอฝืนๆ ให้ผ่านไปในแต่ละเดือนได้บ้าง

เป็นอาจารย์มาได้ 2-3 ปี เงินเดือนผมก็ขึ้นมาเรื่อยๆ ตามผลงาน (ซึ่งก็เข้าใจครับว่าผลงานผมไม่ค่อยน่าชื่นชมเท่าไร) ล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 8,800 บาท แต่รายจ่ายกลับมากขึ้นครับ
จริงๆ มันก็เป็นเพราะตัวเองนั่นแหละ เพราะว่าช่วงปีที่แล้วผมติดเที่ยวมาก ใช้เงินยังกับเศษกระดาษ แต่ละเดือนต้องมีปาร์ตี้เมาเละกับเพื่อนๆ น้องๆ ไม่น้อยกว่า 4-5 ครั้ง บางคืนหมดไป 2-3 พันก็มี (คนเมามักจะขาดวิจารณญาณในการใช้เงิน) เพิ่งจะมาเบานิสัยเสียนี้ได้ก็ช่วงปลายปีที่ผ่านมานี้เอง แต่ก็เท่านั้นแหละครับ ข้าวของมันแพง ค่าครองชีพสูงขึ้น ยังไงเงินก็ไม่พอใช้อยู่ดี ... แปลกดีนะครับ เงินเดือนยิ่งขึ้นยิ่งไม่พอใช้ 55555+

เดือนนี้รัฐบาลช่วยค่าครองชีพให้กับลูกจ้างรัฐเดือนละ 1,500 บาท ผมก็ได้กับเขาด้วย (แต่ได้ถึงแค่เดือนมิถุนายน) ดังนั้นเดือน ม.ค.นี้ เงินเดือนผมเลยแตะไปที่ 10,000 นิดๆ เป็นครั้งแรกในชีวิตนับแต่ทำงานมา

ไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกนี้ยังไงดี บางคนในวิชาชีพเดียวกันที่ทำงานเงินเดือน 10k-30k มาอ่านคงจะขำกลิ้งกับความเห่อเพดานเงินเดือนอันน้อยนิดของผม แต่สำหรับผมแล้วมันคือความภูมิใจครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันเป็นเงินที่ได้มาจากการประกอบอาชีพครู ซึ่งผมภูมิใจกับมันอย่างมากถึงมากสุดๆ นับตั้งแต่วันแรกที่ทำงาน จนถึงวันนี้

เคยมีเพื่อนๆ น้องๆ และญาติๆ หลายคนถามผมว่า ทำไมไม่ไปทำงานกรุงเทพฯ รับเงินเดือนที่มันสูงกว่านี้
ผมเชื่อว่าผมทำได้ครับ ไม่ใช่คิดว่าตัวเองเก่ง แต่ก็มั่นใจว่าวิชาชีพที่เรียนๆ มาก็ไม่ถึงกับทำอะไรไม่เป็นเลย
แต่มีเหตุผลที่ไม่อยากไปครับ
เมื่อก่อนผมจะบอกว่า ผมไม่อยากไปทำงานที่อื่น เพราะอยากอยู่บ้าน (ผมเป็นลูกคนเดียว)
แต่ถ้าเป็นตอนนี้ ผมมีอีกเหตุผลหนึ่ง ก็คือ ผมรักที่จะเป็นครู และไม่อยากจะไปทำอาชีพอื่นแล้วถ้าเป็นไปได้
ตั้งแต่นั้นมาผมเลยยืนยันคำเดียวครับว่า ไม่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องเงิน มันเป็นประเด็นรองครับ
แต่ประเด็นหลักคือ ผมจะทำงานในอาชีพนี้ต่อไป จนกว่าจะโดนไล่ออกสักวันนั่นแหละครับ (ซึ่งก็คงเป็นไปได้ไม่ยากเหมือนกัน เหอๆๆๆ)

สรุปแล้ว เรื่องเงิน ณ วันนี้ เป็นเรื่องที่ผมต้องเอาใจใส่กับมันเพิ่มขึ้นอีกนิดแล้วครับ แต่มันจะไม่ใช่เรื่องที่จะมาทำให้อนาคตของผมไปต่อไม่ได้แน่นอน .. ผมพยายามบอกกับตัวเองไว้อะนะครับ

เขียนเพ้อมาเยอะแล้วรู้สึกว่าต้องนอนเสียที พรุ่งนี้ต้องไปสอนอีก ขอตัวไปนอนก่อนดีกว่าครับ.