หน้าเว็บ

17 สิงหาคม 2558

200 | เมื่อพ่อของข้าพเจ้ารักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

11 กรกฏาคม 2558
แม่โทรขึ้นมาปลุกตอนบ่ายว่าพ่อแน่นหน้าอก อาการเหมือนจะเป็นลมซึ่งอาจเกิดจากอาการกรดไหลย้อนที่มักจะเป็นอยู่บ่อยๆ แต่ครั้งนี้รุนแรงมากกว่าที่เคยเพราะนอกจากจะแน่นหน้าอกแล้วยังมีอาการปวดร้าวไปถึงกรามจนเหมือนปากสั่นๆ ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล (โรงพยาบาลใกล้บ้านที่เดียวกับที่ลูกชายเคยผ่าตัดขาทั้งสองครั้ง) ให้รีบมา

รีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วเดินกึ่งวิ่งไป รพ.ปรากฏว่าพ่ออยู่ห้อง ICU ให้น้ำเกลือ ติดสายออกซิเจนแถมเครื่องวัดชีพจรโยงเต็มตัวไปหมด พ่อมีสติครบถ้วนพูดคุยได้ปกติแต่อ่อนเพลียพอสมควร หมอเจ้าของไข้ (อายุรกรรม) ปรึกษากับหมอเฉพาะทาง (หมอหัวใจ) แล้วลงความเห็นว่ายังไม่ชัดเจนว่าเป็นอะไรกันแน่ อย่างเบาๆ ก็อาจจะเป็นกรดไหลย้อนรุนแรง อย่างหนักๆ ก็อาจจะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ สรุปคือให้พ่อนอน ICU รอดูอาการก่อน 1 คืน ส่วนญาติต้องเยี่ยมเป็นเวลาและไม่สามารถนอนเฝ้าได้ คืนนั้นเลยต้องให้พ่อนอน รพ.คนเดียว ก่อนกลับบ้านตอนค่ำได้รับแจ้งอย่างคร่าวๆ ว่าผลการตรวจเลือดยังไม่พบอะไรผิดปกติ


12 กรกฏาคม 2558
รีบไปดูพ่อแต่เช้า พ่อดูปกติดีและยังอ่อนเพลียอยู่บ้างเพราะนอนไม่ค่อยหลับ พยาบาลแจ้งว่าตอนเที่ยงคืนพ่อมีอาการแน่นหน้าอกและปวดกรามอีกครั้ง (เหมือนตอนที่พามา รพ.แต่อาการรุนแรงกว่า) ให้ยาละลายลิ่มเลือดชนิดฉีดเข้าหน้าท้อง (จำไม่ได้ว่ายาชื่ออะไร) แล้วอาการดีขึ้น วันนี้หมอหัวใจไม่อยู่แต่ได้เข้ามาดูอาการตอนเช้าแล้ว ก็ยังสรุปไม่ได้ว่าเป็นอะไรกันแน่ แต่อาการดีขึ้นเลยอนุญาตให้ย้ายจาก ICU ไปอยู่ห้องผู้ป่วยได้ ตอนบ่ายเลยย้ายไปห้องพิเศษอีกตึกหนึ่ง


13-14 กรกฏาคม 2558
พ่อนอนพักที่ห้องพิเศษ 2 คืน ระหว่างนี้หมอให้ยาควบคู่กันไประหว่างยาละลายลิ่มเลือด (ข้อสันนิษฐานว่าเป็นโรคหัวใจ) และยารักษาโรคกระเพาะและลดกรด (ข้อสันนิษฐานว่าเป็นโรคกรดไหลย้อน) ช่วงที่นอนห้องพิเศษนี้พ่อไม่มีอาการผิดปกติใดๆ หมอเลยให้กลับบ้านได้ และให้ใบนัดให้มาทดสอบโรคหัวใจโดยการวิ่งบนลู่วิ่งอีกที

ค่าใช้จ่ายในการรักษาทั้งหมดไม่รวมค่าห้องพิเศษคือฟรี เพราะพ่อมีสิทธิ์การรักษาแบบผู้สูงอายุ (ถ้าคนปกติที่ยังไม่สูงอายุก็ใช้สิทธิ์บัตรทองแทน ค่าใช้จ่ายต่างกัน 30 บาท)



21 กรกฏาคม 2558
พ่อมาวิ่งตามที่หมอนัด ปรากฏว่าไม่สามารถวิ่งได้ครบตามคอร์สที่กำหนดเพราะมีอาการเหนื่อย (ลู่วิ่งจะเร็วขึ้นเรื่อยๆ และหมอจะคอยถามตลอดว่าเหนื่อยไหม พอเหนื่อยก็ต้องหยุดทันที) ผลการทดสอบเลยไม่สามารถบอกอะไรได้


หมอหัวใจเสนอว่าเพื่อความชัวร์ควรทำการฉีดสี

การฉีดสีพูดง่ายๆ คือ ฉีดสีเข้าไปในเส้นเลือดโดยผ่านทางเส้นเลือดใหญ่บริเวณแขนหรือข้อพับขา เพื่อดูความผิดปกติของเส้นเลือดบริเวณหัวใจนั่นเอง การฉีดสีค่อนข้างปลอดภัยแต่มีความเสี่ยงอยู่บ้างประมาณ 1 คนใน 100 คนที่จะมีผลข้างเคียงคือแพ้สี, แพ้วิธีการฉีดสีซึ่งอาจทำให้แขนหรือขาเน่า และถ้าพลาดอย่างรุนแรงสุดคือไปโดนผนังหลอดเลือดเสียหาย หรือไปโดนลิ่มเลือดหรือไขมันที่เกาะอยู่แล้วมันไปอุดตันในอวัยวะอื่นๆ อาจทำให้พิการหรือเป็นอัมพฤกษ์, อัมพาตได้ หนักสุดก็อาจตายได้แต่เกิดขึ้นน้อยมากๆ

สรุปคือตกลงกันว่าจะฉีดสี หมอเขียนใบส่งตัวให้ไปทำการฉีดสีที่โรงพยาบาลเอกชนอีกแห่งในจังหวัด เนื่องจากที่นี่ไม่มีอุปกรณ์เฉพาะทาง ในขณะที่ รพ.นั้นเป็นศูนย์หัวใจที่พร้อมทั้งเครื่องมือและบุคลากร ค่าใช้จ่ายในการตรวจรักษาทาง รพ.นั้นจะทำการเบิกจาก รพ.ต้นทางอีกทีนึง หมายความว่าพ่อใช้สิทธิ์ผู้สูงอายุในการรักษาได้

15 กันยายน 2558
งดน้ำและอาหารตั้งแต่ 7 โมงเช้า แล้วจึงมาที่โรงพยาบาลเอกชนที่ว่านี้ตอน 9 โมง พยาบาลทำการตรวจวัดความดันและเช็คข้อมูลสุขภาพเบื้องต้น รอหมอเฉพาะทางที่มาจากกรุงเทพฯ ตรวจและลงความเห็นว่าจะฉีดสี หมออธิบายวิธีการตรวจและรักษาแบบคร่าวๆ ประมาณนี้คือ

การฉีดสี (หรือชื่อเต็มๆ คือ การฉีดสีสวนหัวใจ) คือการเจาะเส้นเลือดอาจจะเป็นทางแขนหรือทางขาหนีบแล้วแต่ความเหมาะสม (แน่นอนว่าฉีดยาชาก่อน) แล้วจึงสอดสายพลาสติกเส้นเล็กๆ เข้าไปทางเส้นเลือด สายที่ว่านี้จะสอดยาวไปจนถึงหัวใจแล้วจึงฉีดสีเข้าไปตามเส้นเลือดอีกที สีที่ฉีดเข้าไปจะทำให้มองเห็นภาพภายในหลอดเลือดเลยว่ามีส่วนไหนที่ผิดปกติหรือไม่ ถ้าเจอส่วนที่ตีบตันก็จะทำการรักษาทันทีด้วยการทำบอลลูนหัวใจ

การทำบอลลูนหัวใจ (การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน) จะมีบอลลูนเล็กๆ ที่แฟบอยู่ติดอยู่ตรงปลายสายพลาสติกที่สอดเข้าไป และมักจะใส่ลวดที่มีลักษณะเหมือนโครงกระบอกกลมๆ ไว้ที่บอลลูนด้วย (เรียกว่า Stent) พอสอดไปถึงตรงที่เส้นเลือดตีบก็จะทำบอลลูนให้พองจนดันคราบไขมันที่ทำให้ตีบออกไปจนติดผนังหลอดเลือด แล้วก็ใช้ลวดที่ใส่ไปด้วยคาไว้เพื่อไม่ให้มันกลับมาตีบที่จุดเดิมอีก

กระบวนการทั้งหมดนี้หมอบอกว่าใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง ในระหว่างการรักษาผู้ป่วยก็จะยังตื่นอยู่ มีสติครบถ้วนและไม่เจ็บปวดอะไร และถ้าพ่อไม่เคยแพ้ยาหรือแพ้อะไรมาก่อนก็สามารถทำได้เลย จากนั้นพ่อก็ไปเปลี่ยนชุด ให้น้ำเกลือ แล้วก็ไปนอนรอที่ห้อง ICU (จริงๆ คือต้องอยู่ในห้องพักผู้ป่วยที่มีพยาบาลดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา)

พอ 13.30 น. ก็ได้เวลารับตัวไปทำการฉีดสี ญาติที่มาด้วยต้องรออยู่ข้างนอกจนกว่าหมอจะเรียกเข้าไปดูอาการและพูดคุยถึงแนวทางรักษา พ่อเข้าไปได้สักเกือบ 1 ชั่วโมงพยาบาลก็มาตามไปดู


ที่ห้องผ่าตัดจะมีห้องมอนิเตอร์อยู่ด้านนอก หมอชี้ให้ดูในจอที่ถ่ายภาพออกมา แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเส้นเลือดใหญ่บริเวณด้านซ้ายของหัวใจมีจุดที่ตีบมากๆ อยู่ 1 จุด ดูภาพข้างล่าง


ตอนที่เห็นภาพนี้คือเป็นวิดีโอ จะเห็นชัดเจนเลยว่าเลือด (หรือในภาพนี้ก็คือสี) ที่ไหลมาจากเส้นเลือดใหญ่ๆ ด้านซ้ายมือ พอมาถึงจุดที่ตีบจู่ๆ มันก็เล็กลงเหมือนไหลผ่านคอขวดหรือมีอะไรบางอย่างไปขวางทางไหลของมันอยู่ เปรียบเทียบง่ายๆ คือเหมือนสายยางที่โดนพับหรืองอทำให้น้ำไหลผ่านไม่เต็มที่นั่นแหละ

นอกจากนี้ยังมีร่องรอยของการตีบอีก 2 จุดที่เห็น แต่หมอบอกว่าหนึ่งจุดเป็นช่วงทางแยกของเส้นเลือดซึ่งไม่น่าทำเพราะอาจทำให้ระบบไหลเวียนเลือดผิดปกติ ส่วนอีกหนึ่งจุดอยู่ที่เส้นเลือดเส้นย่อยๆ ที่แตกแขนงออกไปจากเส้นใหญ่ซึ่งไม่มีผลอะไรมากนัก สองจุดนี้หมอบอกว่าไม่เป็นไร ยังไม่ต้องทำก็ได้ แต่จุดแรกที่เส้นเลือดใหญ่นั่นหมอเสนอให้ทำการรักษาด้วยการทำบอลลูนทันที รับทราบแล้วก็ออกมารอข้างนอกเหมือนเดิม รอจนรักษาเสร็จจะเรียกเข้าไปดูอีกที

รอไปอีกเกือบ 1 ชั่วโมงก็เสร็จเรียบร้อย หมอชี้ให้ดูจุดที่ใส่ลวด (Stent) เข้าไป ดูภาพข้างล่างจะเห็นคล้ายๆ สปริงอันเล็กๆ บางๆ อยู่ตรงเส้นเลือด


และอีกภาพคือหลังจากทำบอลลูนแล้ว จะเห็นว่าส่วนที่ตีบหายไปแล้ว และเลือด (หรือในภาพนี้ก็คือสี) ไหลผ่านบริเวณนั้นไปได้อย่างเป็นปกติดี


จากนั้นพ่อก็ถูกเข็นออกมาจากห้องผ่าตัดโดยมีแผลจุดเดียวคือที่ข้อมือขวาตรงเส้นเลือดใหญ่ เป็นแผลเล็กๆ เหมือนโดนเข็มฉีดยาที่ใช้ตอนบริจาคเลือดแค่นั้นเอง เสร็จสิ้นการรักษาเวลา 15.00 น. แล้วกลับไปนอนห้อง ICU เหมือนเดิม

หลังการรักษา ต้องรัดข้อมือตรงจุดที่เจาะเข้าไปด้วยสายรัดข้อมือเป็นเวลาหลายชั่วโมง สายที่ว่านี้ใช้ลมเป่าเข้าไปให้มันขยายตัวเพื่อรัดไว้ไม่ให้เลือดออก พยาบาลจะคอยมาปล่อยลมออกทีนิดๆ ทุกชั่วโมงเพื่อให้สายรัดคลายตัวลง สุดท้ายจึงเอาสายรัดออกตอนประมาณ 4 ทุ่มกว่าๆ ในระหว่างนี้ตั้งแต่ออกจากห้องผ่าตัดมาจนถึงตอนเช้าวันรุ่งขึ้นห้ามยกแขน (อาจยกได้แต่ไม่ควรเยอะมาก) หรือออกแรงเท้าแขนเด็ดขาด เพราะจุดที่เจาะเข้าไปเป็นเส้นเลือดใหญ่ แผลอาจเปิดและหากแผลเปิดเลือดก็จะพุ่งออกมาอย่างง่ายดาย

หลังจากออกมาจากห้องผ่าตัดแล้วก็สามารถดื่มน้ำและทานอาหารได้ตามปกติ อาหารผู้ป่วยของโรงพยาบาลเอกชนนับว่าอร่อยและดูหรูหรามากเมื่อเทียบกับโรงพยาบาลรัฐที่เคยไปนอน


16 สิงหาคม 2558
ตอนเช้ามืดพยาบาลมาเอาเครื่องวัดชีพจร, เครื่องวัดความดัน และเอาผ้าก๊อซแปะแผลออก แต่ไม่ได้ลุกมาดูเพราะง่วงมาก (นอนเฝ้าแบบหลับๆ ตื่นๆ มาตลอดทั้งคืน) แม่มาเฝ้าต่อตอนเช้า หมอมาตรวจอีกครั้งตอน 10 โมง อนุญาตให้กลับบ้านได้และนัดมาตรวจอีกครั้งเดือนหน้า ในระหว่างนี้หากมีอาการแน่นหน้าอกอีกซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากหลอดเลือดส่วนที่ตีบน้อยที่ไม่ได้ทำบอลลูน ก็ให้มาทำบอลลูนส่วนนั้นเพิ่มเติม ส่วนแผลที่เจาะนั้นให้แปะพลาสเตอร์ไว้ 2 อาทิตย์ และในระหว่างนั้นห้ามยกของหนักหรือใช้แรงที่มือขวาโดยเด็ดขาด สังเกตดูแผลยังไม่ปิดสนิทดีก็เลยมีเลือดซึมๆ ออกมาบ้างไม่ต่างอะไรกับเวลาหลังบริจาคเลือด

พ่อดูอาการปกติดีเหมือนคนไม่ได้เป็นอะไร ไม่มีอาการอ่อนเพลียใดๆ ให้เห็นเลย (มีป้าอีกคนที่มารักษาวันเดียวกันแต่เข้าห้องผ่าตัดทีหลัง ตอนเช้าแม่บอกว่าเห็นแกลงไปเดินช้อปปิ้งที่ชั้นล่างซะแล้ว) นั่งรอการเงินเคลียร์ค่าใช้จ่ายและรับยาเสร็จตอนบ่ายก็กลับบ้านโดยสวัสดิภาพ รวมค่าใช้จ่ายที่ต้องออกเอง 280 บาทถ้วน

พ่อกลับมาถึงบ้านก็นอนเล่น iPad สบายใจเฉิบ :)