หน้าเว็บ

18 ตุลาคม 2552

119 | รถไฟฟ้า มาหานะเธอ



สองทุ่มสิบ วันที่ 17 ต.ค.


me : มึงอยู่ไหนวะ
ไอ้ชัช : กูอยู่บ้าน มีไรวะ
me : ไม่เข้าร้านเล็กแงะ
ไอ้ชัช : เออ วันนี้ไม่เข้า มีไรวะ (รอบสอง) มึงอยู่ไหนเนี่ย
me : กูกำลังจะไปดูเหมยลี่ รอบ 2 ทุ่มครึ่ง ไปกะกูเปล่า
ไอ้ชัช : ใครไปมั่ง
me : กู
ไอ้ชัช : เออไปๆ
me : เดี๋ยวกูไปรับ

ตอนแรกว่าจะไปดูรอบดึกสุด (3 ทุ่มครึ่ง) แต่กลัวฝนตก เดี๋ยวขากลับจะเป็นพระเอกมิวสิคไปซะ เลยไปให้ทันรอบ 2 ทุ่มครึ่งดีกว่า พอดีเมื่อวานเปรยๆ กันไว้ว่าอยากไปดูเหมยลี่ แล้วเสือกว่างตรงกันอีก เลยจัดซะคนละ 120 ได้ดูเหมยลี่กันสมใจ 5555 คนบ้าอะไรน่ารักโฮกๆ

ตอนหนังจบเดินออกจากโรงเห็นที่นั่งบนๆ กินป๊อปคอร์นเหลือเต็มกล่อง ยืนมองกลืนน้ำลายเอื้อกๆ จะหยิบมากินต่อแล้วแต่ (แม่ง) คนออกจากโรงไม่หมดซะที พอคนหมดไฟก็ดันเปิด พนักงานเข้ามาพอดี อด !! (ความตกต่ำของอาชีพพ่อพิมพ์ของชาติ 55555+)

ความประทับใจ
หนัง Feel Good แบบ GTH จริงๆ แต่เผอิญว่าเรื่องนี้มันโดนใจมากๆ เพราะตรงกับช่วงวัยทำงานอย่างเราๆ กันพอดี เลยอินกะหนังกันแบบสุดติ่ง แถมฉากหลายๆ ฉากในหนัง (สถานี BTS, ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตรงข้ามวัดอรุณฯ และอื่นๆ) ผมก็เคยไปเดินแกว่งกลางดึกอย่างเหมยลี่มาแล้วสมัยฝึกงานเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว ก็เลยเข้าใจว่า "อารมณ์เหงา" ของคนเมืองหลวงเป็นยังไง และจากองค์ประกอบอื่นๆ ในเรื่องอีกก็สรุปได้ว่า เรื่องนี้ก็ 10/10 อีกเช่นเคย (ล่าสุดก็จากเรื่อง ความจำสั้น แต่รักฉันยาว ใน Entry 064) และก็คงจะมาเป็นส่วนหนึ่งในตู้ DVD ของผมในเร็วๆ นี้ครับ

ฉากฮาโดนใจ
- อ้วกไวน์
- พี่เรน
- เข้าส้วม
- พี่เคนขอเติมน้ำปืนฉีดน้ำ
- สามกิ๊กดูดาวหาง

ฉากซึ้งโดนใจ
- ฉากรื้อกล่อง (ส่วนใหญ่ก็คงน้ำตาร่วงกันตอนนี้แหละมั้ง)

ฉากอิจฉาได้ใจ
- พนักงาน BTS ได้ทุนเรียนต่อเมืองนอกด้วย !!

Favorite Quote
"ฉันกินข้าวคนเดียวมาสองเดือนแล้วนะเว้ย"

12 ตุลาคม 2552

118 | ประกาศจับโคตรฮา

เมื่อตอนค่ำวันนี้ไป SE-ED Book ที่แฟรี่แลนด์มา เดินไปยินดูหนังสือมุมประวัติศาสตร์ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับประตูห้องพนักงาน ก็เห็นไอนี่แปะอยู่



มันคือประกาศจับคนขโมยหนังสือครับ เท่าที่อ่านดูก็เห็นว่าคนพวกนี้ลงมือในร้านหนังสือหลายจังหวัด เขาก็เลยเอามาแปะไว้ที่หน้าประตูห้องพนักงาน ให้พนักงานดูหน้าไว้เผื่อเจอมันมาลงมือที่ร้านก็จะได้แจ้งตำรวจจับได้เลย แต่ไอ้ที่ฮาคือ "ฉายา" ที่ในประกาศเขาตั้งไว้เรียกขโมยครับ ลองดู



ไอ้หยาอาตือนี่มันคือชื่อหนังเก่าโคตรๆ สมัยสมบัติเมทะนียังละอ่อน



ลุงมหาโจร กะ ป้ามหาภัย



แก๊งนี่ดูชื่อแต่ละคน มีไอ้นำหน้าหมดเลย



ชื่อแก๊งค์นี้เจ็บปวดมากๆ



ผมฮาอันนี้สุดๆ แล้วอะ ยืนหัวเราะในร้านซะดังเลย

ผมเดาเอาว่าคนทำป้ายเนี่ย ถ้าไม่แค้นพวกแก๊งค์ขโมยของมากๆ ก็คงเป็นคนที่มีอารมณ์ขันมากๆ แหงเลย
อย่างนี้น่าให้ไปอยู่กับหนังสือ ฮิ ละก็รุ่งแน่นอน 55555+

10 ตุลาคม 2552

117 | จดหมายเก่า

วันนี้ผมไปรวมญาติกับที่บ้าน เพราะเป็นวันครบรอบวันไหว้อาเหล่าม่า (คนไทยอาจเรียกว่าทวด)

วันรวมญาติของบ้านเราจะมีอยู่ปีหนึ่งประมาณ 5-6 ครั้ง และทุกครั้งก็จะมีญาติพี่น้องที่ไปทำงาน หรืออยู่จังหวัดต่างๆ กลับมามากมาย อาจจะยกเว้นบางคนที่ติดธุระติดงานไม่อาจมาได้ก็ไม่ว่ากัน (ผมเองก็ไม่ได้ไปอยู่หลายครั้งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา) ซึ่งสำหรับลูกหลานจีนอย่างเราแล้ว มันคงเป็นความอบอุ่นแบบหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ละมั้ง

หลังจากไหว้เสร็จเราก็จะทานข้าวร่วมกัน พูดคุยเรื่องงาน เรื่องครอบครัว เหตุบ้านการเมือง ฯลฯ แลกเปลี่ยนกันในหมู่ญาติ ตอนเราเด็กๆ เราก็มักจับกลุ่มกับเด็กรุ่นเดียวกัน คุยกันเรื่องเกม การ์ตูน เรื่องที่โรงเรียนอะไรพวกนี้ พอโตมาจนเป็นวัยรุ่นเราก็มานั่งคุยเรื่องเพลง เรื่องหนัง เรื่องเรียนต่อ จนถึงตอนนี้รุ่นผมก็ทำงานกันหมดแล้ว เราก็เลยไปนั่งรวมกับพวกผู้ใหญ่เพื่อคุยเรื่องผู้ใหญ่ๆ กับเขาบ้าง (555) ทุกคนโดยเฉพาะเด็กๆ จะเปลี่ยนแปลงเร็วมากจนบางครั้งผมไม่ได้มานานเป็นปี ก็เริ่มจะจำหน้ากันไม่ได้แล้ว ต้องมานั่งลำดับญาติกันใหม่อยู่เรื่อยๆ อันนี้ก็ตลกดีเหมือนกัน

ขอเล่าประวัติความเป็นมาของสายตระกูลทางแม่นิดหนึ่ง ตัวผมนั้นประกอบไปด้วยเลือดจีนและเลือดไทยอย่างละครึ่งพอดี ทางพ่อจะเป็นไทยอีสานแท้จากร้อยเอ็ด ส่วนทางแม่นั้นถ้านับย้อนไปละก็จะต้องเริ่มที่เมืองอะไรซักอย่างทางตอนใต้ของประเทศจีนโน้น

บรรพบุรุษรุ่นแรกที่เดินทางมายังประเทศไทยก็คือ อาเหล่ากงและอาเหล่าม่า (อย่างที่บอกว่าคนไทยน่าจะเรียกทวด เพราะว่าเป็นพ่อแม่ของยายอะนะ) เดินทางมาจากประเทศจีนโดยอาศัยใต้ท้องเรือของพวกฝรั่งมา ประเทศไทยตอนนั้นอยู่สมัยรัชกาลที่ 6 ครับ พอมาถึงกรุงเทพฯ แล้วก็หางานทำเรื่อยไป จนกระทั่งเดินทางมาปักหลักครอบครัวอยู่ที่ปากน้ำโพนี่เอง สมัยนั้นคนจีนในตลาดมีเยอะครับ บ้างรวย บ้างเป็นกุลี ทำงานหากินไปตามอัตถภาพ อาเหล่ากงทำงานหนักหลายอย่าง แต่ที่ลูกหลานจำได้แม่นและเล่าสู่รุ่นหลังๆ ก็คือ พายเรือขายก๋วยเตี๋ยว ตั้งแต่สถานีรถไฟปากน้ำโพ (ที่เมื่อสมัยก่อนคึกคักสุดๆ) ไปจนตลาด ส่วนอาเหล่าม่านั้นก็ทำเฉาก๊วยขาย และก็ทำนู่นทำนี่หลายอย่าง

ดังนั้นฐานะความเป็นอยู่ในรุ่นของอาเหล่ากงอาเหล่าม่าจึงลำบากมาก พอมาถึงรุ่นลูกก็ยังไม่อาจเรียกได้ว่าไม่จน นับกันต่อมาก็คือรุ่นของอาม่า (คนไทยเรียกยาย) ก็จะอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ก็อย่างที่รู้กันในภาวะสงครามเขาก็อยู่กันอย่างยากลำบากแล้ว อาม่าผมมักจะเล่าให้ฟังเสมอถึงเมื่อครั้งยังเด็กที่ช่วยอาเหล่าม่าหาบส้มโอ สัปปะรด วิ่งขายให้กับพวกทหารญี่ปุ่นที่มาพักที่สถานีรถไฟปากน้ำโพ (ทหารญี่ปุ่นจะกินแต่ผลไม้ที่มีเปลือกหนา และไม่กล้ากินอาหารอื่นเพราะกลัวโดนคนไทยวางยาพิษ) บรรพบุรุษของเราผ่านช่วงเวลาสู้ชีวิตช่วงนั้นมาอย่างยากลำบาก

อาม่าแต่งงานกับอากง (คนไทยเรียกตา) ซึ่งเป็นลูกชาวจีนเช่นกัน ดังนั้นพอมาถึงรุ่นแม่ของผม แม้จะเกิดที่เมืองไทยทุกคน และใช้ชื่อ-นามสกุลเป็นภาษาไทยหมด แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเชื่อชาตินั้นเป็นไทย (เพราะว่าพ่อก็จีน แม่ก็จีน ลูกก็ต้องจีน 100% ใช่ปะ) ในรุ่นแม่ผมเริ่มมีโอกาสเรียนหนังสือ แต่ก็ไม่ได้สบายเหมือนเด็กตลาดในยุคนั้นเพราะว่าอยู่บ้านนอก (สมัยนั้นก็ถือว่าบ้านนอกละนะ) ต้องเรียนโรงเรียนวัด เลิกเรียนมาก็ต้องทำงานช่วยที่บ้าน เวลามีงานวัดก็ไปทำก๋วยเตี๋ยว ทำขนมขายกัน (แม่เล่าให้ฟังเหมือนกับว่ามันสนุกมาก แต่ผมแน่ใจว่าการขายขนมเพื่อหาเงินมาทำกิจกรรมในมหาลัย กับการขายขนมเพื่อเอาเงินมาใช้เป็นค่ากินอยู่ในวันพรุ่งนี้ ความสนุกมันต่างกันแน่ๆ) พี่น้องทุกคนได้เรียนสูง ได้ทำงานในอาชีพที่ดี มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานกันหมดทุกคน บ้างเป็นแพทย์ พยาบาล ครู นักกฏหมาย ฯลฯ

กว่าจะมาถึงตรงนี้ใช้เวลาไปแล้ว 3 ชั่วอายุคน อาเหล่ากง อาเหล่าม่า อยู่รอจนได้เห็นความสำเร็จในรุ่นหลาน แล้วท่านทั้งสองก็จากไปตามอายุขัยและกาลเวลา อาเหล่ากงเสียตอนผมอายุได้ขวบเดียวผมเลยจำอะไรไม่ได้เลย ส่วนตอนที่อาเหล่าม่าเสียนั้นผมก็ยังเป็นเด็กน้อยๆ ยังไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไรเท่าไร เลยจำได้ลางๆ ว่าตอนเล็กๆ อาเหล่าม่ามักจะเรียกผมไปหา และมักจะพูดภาษาจีนซึ่งผมฟังไม่ออก (555) จำได้แค่นี้เอง

แม้ว่าวันนี้อาเหล่ากงและอาเหล่าม่าจะไม่ได้อยู่เห็นรุ่นเหลน โหลน และรุ่นต่อๆ ไปอีกแล้ว แต่พวกเราที่มารวมญาติกันในทุกๆ ปีนี้ ก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลง ความสำเร็จ ความล้มเหลว การเกิด การเจ็บป่วย การเสียชีวิต ของญาติๆ ทุกคนอย่างต่อเนื่อง ญาติผู้ใหญ่ของเราแก่ตัวลง อีกไม่นานก็คงจากเราไปทีละคน ส่วนญาติตัวน้อยๆ ของเราก็เกิดใหม่กันเรื่อยๆ นับกันได้ถึงรุ่นโหลนแล้ว เด็กๆ ตัวเล็กตัวน้อย วิ่งเล่นกันสนุกสนานทุกครั้งเวลาเจอเพื่อนที่เป็นญาติเราเอง เหมือนที่เราเคยเป็นเมื่อตอนเราตัวเล็กๆ เหมือนกัน

น้าของผมคนหนึ่งนำของสำคัญมาให้ดู มันเป็นจดหมายเก่าจากน้องชายของอาเหล่ากง ที่ส่งมาที่นี่

...เมื่อกว่า 50 ปีที่แล้ว



สภาพของจดหมายกว่า 20 ฉบับ

น้าไปเจอที่บ้านหลังจากถูกเก็บไว้มานานหลายสิบปี และเอาฉบับหนึ่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญภาษาจีนแปลให้ ทำให้เราได้รับรู้เรื่องราวในอดีตเมื่อกว่า 50 ปีที่แล้วโดยที่ไม่มีใครรู้มาก่อน น้องชายเขียนเล่าเรื่องราวครอบครัวให้พี่ชายได้รับรู้ ถึงความคิดถึงพี่น้อง ถึงความยากลำบากในการทำงานและกินอยู่ในต่างเมือง และลงท้ายด้วยความคิดถึงที่อยากจะได้มาเจอครอบครัวของพี่ชาย และลูกๆ หลานๆ

จากเนื้อความในจดหมายทำให้เราได้เข้าใจความรู้สึกของ "พี่น้อง" อันเหนียวแน่นนี้



หนึ่งในฉบับที่เอามาแปลแล้ว

พวกญาติผู้ใหญ่เล่าว่าอาเหล่ากงมีน้องชาย 1 คนอยู่ที่สิงคโปร์ และจดหมายเหล่านี้ก็ส่งมาจากที่นั่น ครอบครัวของน้องชายอาเหล่ากงก็ถือว่าเป็นญาติของพวกเรา ซึ่งหลังจากขาดการติดต่อไปหลายสิบปี พวกเรารุ่นหลังถึงกับอึ้งเมื่อได้รู้ว่า นอกจากญาติที่บ้านเกิดของอาเหล่ากงที่เมืองจีน (ซึ่งเราก็รู้ไม่ชัดเจนว่าอยู่ที่ไหน) แล้ว เรายังมีญาติอีกหนึ่งสายที่สิงคโปร์ด้วย

สุดท้ายเราคุยกันว่า จะลองสืบหาที่อยู่ของญาติเราที่สิงคโปร์ แม้ว่าตอนนี้อาจจะเหลือเป็นเพียงรุ่นลูกหลานแล้ว แต่อย่างไรเสียก็มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดอย่างสำคัญ แล้วสักวันเราอาจจะได้เจอพวกเขาจากที่นั่น ...ผมคิดว่ามันคงเป็นวันที่มีความสุขทีเดียวถ้าเราจะได้เจอหน้าคนที่เราไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่สืบสาวความสัมพันธ์กันได้ถึงรุ่นบรรพบุรุษเมื่อนับร้อยปีที่แล้ว

...และในวันนั้น เราหวังว่าจะได้ทำให้ความฝันของสองพี่น้องในอดีตอันแสนนาน ได้เป็นจริง.

02 ตุลาคม 2552

115 | Success for MSc [2]

วันนี้เมื่อสักพักนี้เอง แม่โทรมาบอกว่า "Transcript ส่งมาถึงบ้านแล้ว" โอ๊ะ !! ตกใจมาก
มือไม้สั่นรีบมาเปิดเว็บทะเบียนดู ปรากฏแล้วว่า ....



โอ้วววเย้ๆๆๆๆๆๆๆ !!!!

ได้ยืนเต็มสองขาเหมือนชาวบ้านเขาซักที โอ้วววววววววววววส์