หน้าเว็บ

30 กันยายน 2556

182 | Find My iPhone !!! [2]

Link ที่เกี่ยวข้อง : 157 | Find My iPhone !!! (2554)

ผ่านไปเกือบสามปีแล้วครับ กับการซื้อ iPhone มาใช้เป็นครั้งแรกในชีวิตนั่นก็คือ iPhone 4 มาวันนี้ก็ได้มาเล่าสู่กันฟังอีกครั้งว่า iPhone 4 เครื่องนั้น ได้ถูกส่งต่อไปถึงมือพ่อของผมได้ใช้ต่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนในมือผมตอนนี้คือ iPhone 5 ครับ


เหตุผลหลักที่ต้องการเปลี่ยนเครื่องคือ iPhone 4 ชักจะไม่ตอบสนองความต้องการในการใช้งานของผมแล้วครับ บางกรณีที่เราต้องเปิดเว็บหาอะไรนอกสถานที่เวลารีบๆ, คุย Chat ผ่าน LINE หรือ Facebook ในเรื่องสำคัญเร่งด่วน หรือแม้แต่เรื่องหยุมหยิมอย่างการโหลดแอพกล้องที่ใช้เวลานานจนไม่ทันถ่ายภาพเหตุการณ์เด็ดๆ อย่างนี้ก็ด้วย ผมก็เลยมาพิจารณาว่าอืม...ใช้มาเกือบสามปีแล้วนะ คุ้มค่าแล้วละ คงจะได้เวลาอัพเกรดกันสักที

ตัวเลือกทางฝั่ง Android นี่ตัดฉึบไปได้เลยครับ (เพราะอะไรลองอ่านล่างๆ ดู) ส่วน Windows Phone ผมไม่เคยมั่นใจกับมันเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นตัวเลือกของผมจึงอยู่ที่ iPhone เท่านั้น

แล้วจู่ๆ ก็มาซื้อ iPhone 5 ตอนที่ iPhone 5s และ 5c กำลังจะเข้ามาขายในไทยอีกไม่กี่เดือน มันหมายความว่ายังไง นี่คือเหตุผลและมุมมองของผมครับ

มาดู Features
แน่นอนว่าความต่างของ 5 กับ 5s นั้นเยอะมากพอสมควร (CPU 64 Bit, Touch ID และอื่นๆ) ผมก็เลยมานั่งพิจารณา Features ต่างๆ ของ 5s แล้วเปรียบเทียบกับความสำคัญในการใช้งานของผมเอง ดังนี้ครับ

- CPU 64 Bit แน่นอนว่าต้องเร็วกว่าตัวเดิมอยู่แล้ว แต่ถ้าดูจากใน Keynote จะพบว่ามีการเปลี่ยน Instruction Set ไปพอสมควร ซึ่งแอพต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้พัฒนาขึ้นมาสำหรับ CPU 32 Bit ตัวเดิม จะเปลี่ยนมาใช้ CPU 64 Bit ให้เต็มประสิทธิภาพนั้นก็คงไม่พ้นต้องเขียนโปรแกรมกันใหม่ละครับ แล้วแอพใน App Store ตอนนี้จะมีสักกี่ตัวที่รองรับ 64 Bit เต็มรูปแบบ
(ถ้านึกภาพไม่ออกก็เปรียบเทียบกับเคสของ Windows 32 Bit กับ 64 Bit ครับ)

- Touch ID เป็นนวัตกรรมที่ผมว้าวมาก แต่ในแง่การใช้งานจริง ณ ตอนนี้ผมว่ามันยังไม่ใช่ Feature ที่สำคัญมากนัก แต่ในอนาคต 1-2 ปีข้างหน้าน่าจะจุดติด (คือให้มันมีการเอาไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลายและมีประโยชน์กว่านี้) ซึ่งกว่าจะถึงตอนนั้นก็คงได้รอบเปลี่ยนมือถือพอดีครับ

- กล้อง ความละเอียด 8 ล้านพิกเซลเท่าเดิมแต่คุณสมบัติของเซนเซอร์ดีขึ้น เป็น Feature หนึ่งที่อยากได้มากครับ แต่พอมามองการใช้งานของตัวเอง ที่รูปภาพส่วนใหญ่ที่ถ่ายจะใช้สำหรับ Social Network นอกนั้นก็เก็บไว้ดูเองไม่ได้เอาไปล้างอัดหรือทำงานอะไรใหญ่โตนัก (พูดง่ายๆ คือถ่ายเล่นเป็นส่วนใหญ่นั่นแหละ) ผมก็เลยรับได้กับความต่างตรงนี้ครับ ส่วน LED Flash คู่นั้นไม่สำคัญสำหรับผมเลยครับ ถ่ายกลางคืนผมก็ปิด Flash มาตลอด 555555

- GPU และอะไรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่สำคัญครับเพราะผมไม่ได้ใช้โทรศัพท์เล่นเกมมานานแล้ว เหตุผลสำคัญคือกลัวแบตหมดครับ

ดังนั้นก็เลยสรุปได้ว่า สำหรับการใช้งานของผมในปัจจุบันนี้ มันเกินพอครับ เพราะว่าหลักๆ คือใช้เป็นโทรศัพท์ ใช้เล่น Social Network ใช้ถ่ายรูป และอื่นๆ อีกเล็กน้อย ซึ่งผมมองว่าถ้าใช้แค่นี้ 5 กับ 5s ก็ไม่ต่างกันเท่าไรเลย

มาดูราคา
อันนี้สำคัญมากครับ ราคา iPhone 5 ตอนนี้ ผมเลือกศูนย์ DTAC เหตุผลหนึ่งคือใช้อยู่แล้ว พอไปดูจริงๆ ก็พบว่าราคาถูกกว่าที่อื่นมากครับ คือราคาเต็มของรุ่น 16 GB มันอยู่ที่ 24,555 บาท แต่ถ้าเลือกผ่อนบัตรเครดิตบวกกับยอมใช้โปรติดสัญญา 1 ปีของเขา ราคาเครื่องจะอยู่ที่ 20,900 เท่านั้น !!! ถูกลงมาตั้งหลายพันเลยนะเนี่ย
(ถ้าข่าวลือเป็นจริง ราคานี้จะใกล้เคียงกับ 5c ศูนย์ไทยมาก)

ตรงนี้ตัดสินใจแบบไม่ต้องคิดเลยครับ สัญญา 1 ปีไม่มีปัญหาอยู่แล้วเพราะพื้นที่ๆ ผมอยู่ (ทั้งบ้านและที่หอพัก) ใช้ DTAC ได้ปกติดี ผมก็เลยไม่ได้คิดจะย้ายค่ายแต่อย่างใด แถมเทียบราคาโปรใหม่กับโปรเดิมที่ผมใช้อยู่ อันใหม่แพงกว่า 10 บาท แต่จำนวนนาทีที่โทรมากกว่า 3G ความเร็วสูงสุดก็ให้เยอะกว่า มันใช่ขนาดนี้ผมคงไม่ต้องคิดมากแล้วละครับ

มาดูคุณค่า
ในวันที่เปิดตัว iPhone 5s และ 5c ทาง Apple ได้ตัดสินใจตัด iPhone 5 ออกไปจากการทำตลาดอย่างไม่น่าเชื่อสายตา นั่นคือต่อจากนี้ไป iPhone ในท้องตลาดจะมีให้เลือกแค่ iPhone 4S, iPhone 5s และ iPhone 5c (หลังงานเปิดตัวสิ้นสุด iPhone 5 ก็หายไปจาก Apple Store ของประเทศไทยทันที)

ถ้าเอากรณีนี้ไปเทียบกับสมัยที่เปิดตัว iPad 4th Gen ก็ดูจะคล้ายๆ กันมากเลย คือจู่ๆ ก็ตัด The New iPad (หรือ iPad 3rd Gen) ออกไปเฉยๆ ซะอย่างนั้น ซึ่งในตอนนี้คงรู้กันแล้วว่าเหตุผลที่เลิกขาย The New iPad ไปนั้นเนื่องมาจาก iPad รุ่นนี้ปัญหาเยอะ เช่นเครื่องร้อนเร็ว, แบตหมดเร็ว, น้ำหนักมาก เป็นต้น พอ Apple แก้ปัญหาได้ใน iPad 4th Gen ก็เลยเอาตัวใหม่มาแทนตัวเก่าซะเลย

แล้วเหตุผลของการตัด iPhone 5 ในครั้งนี้มันเหมือนกันหรือเปล่า

ตอนแรกก็คิดว่าใช่ครับ เพราะ iPhone 5 ตอนขายใหม่ๆ ก็เจอปัญหาเยอะเหมือนกัน เช่น เครื่องบอบบางลง (มีคนนั่งทับจนงอ) สีที่พ่นรอบๆ ขอบตัวเครื่องในรุ่นสีดำมันลอกออกได้ (ตอนผมไปซื้อเครื่องนี้ก็แกะไป 2 เครื่อง เครื่องแรกที่แกะออกมามีรอยถลอกบริเวณขอบโลหะรอบเครื่องเลย) ซึ่งถ้า Apple แก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ใน iPhone 5s แล้ว ก็ถือว่าสมเหตุสมผลที่จะตัด iPhone 5 ออกไปซะ

แต่พอดูดีๆ แล้ว iPhone 5 มันกลายร่างมาเป็น 5c ครับ เปลี่ยนฝาหลังให้เข้ากับ Concept ของ Jony Ive ซะ แต่ข้างในก็เหมือนๆ เดิม (ต่างกันเล็กน้อยในส่วนของแบต) นั่นแสดงว่าโดยเนื้อแท้แล้ว Core ของ iPhone 5 ก็ถือว่าไม่ได้อยู่ในเคสเลวร้ายแบบ The New iPad ซะหน่อย ส่วนเรื่องความทนทานอันนี้ก็ต้องทำใจหน่อยครับ เครื่องมันเบาลง บางลง จะให้มันสมบุกสมบันแบบสมัย iPhone 4 หรือ 4S ก็คงไม่ได้อะนะ แต่อย่างน้อยก็ยังคงเอกลักษณ์ความอึดไว้บ้าง เช่นกระจกหน้าหลังกับตัวขอบที่ยังพยายามรักษาวัสดุไว้ให้ใกล้เคียงกับรุ่นก่อนหน้า อันนี้ก็คงต้องขึ้นอยู่กับผู้ใช้แล้วละครับว่าจะถนอมของกันแค่ไหน

และแน่นอน ถ้า iPhone 5s และ 5c เข้ามาขายในไทยอย่างเป็นทางการเมื่อไร เราคงไม่ได้เห็น iPhone 5 เครื่องศูนย์กันอีกต่อไป นี่แหละครับคือ Rare Item ที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นบ่อยๆ นักในกลุ่มสินค้าของ Apple ซึ่งผมก็สนใจประเด็นนี้มากเช่นกัน ในเมื่อมีเวลาตัดสินใจไม่มากนัก (ทางศูนย์ DTAC บอกว่า iPhone รุ่นใหม่จะเข้าไทยประมาณสิ้นปีนี้) ผมก็เลยตัดสินใจรีบคว้าไว้ในที่สุดครับ

(อีกเหตุผลเล็กๆ เกี่ยวกับตัวเครื่องคือ ผมชอบสีดำแบบ iPhone 5 มากกว่า iPhone 5s นะ)

มาดูระยะเวลาการใช้งาน
iPhone 4 เป็นโทรศัพท์เครื่องที่สองที่ผมใช้มันมานานมากๆ เกือบสามปี (เครื่องแรกคือ Nokia 3310 อันนั้นใช้อยู่เกือบ 4 ปี) ซึ่งน่าชื่นชม Apple อย่างหนึ่งคือ สินค้าไม่ค่อยตกรุ่นเร็วนัก แม้ว่าจะมี iPhone ตัวใหม่ออกมาทุกปี แต่รุ่นก่อนหน้าก็ยังสามารถใช้งานได้ดี และ Apple เองก็ยังไม่ทิ้งลูกค้าเก่าดังจะเห็นได้จาก iOS ที่อัพเดทย้อนรุ่นให้เยอะพอสมควร

ลองดูกรณี iPhone 3GS ที่เปิดตัวเมื่อปี 2552 และเพิ่งจะถูกตัดออกไปเมื่อปี 2554 หรือดู iPhone 4 ที่เปิดตัวมาพร้อม iOS 4 แต่อัพเดทมาได้จนถึง iOS 7 ครับ กรณีเหล่านี้หาดูได้ยากมากในฝั่ง Android เพราะแม้แต่รุ่น Pure Google อย่าง Nexus เองก็ไม่ได้มีการตามอัพเดทกันยาวนานขนาดนี้

กรณีที่เจ็บปวดที่สุดก็คือ Samsung ที่ผมอยากจะใช้คำว่า "เอาเปรียบลูกค้า" เลยทีเดียว ถ้าอยากได้การดูแลจากผู้ผลิตนานๆ ก็ต้องเลือกใช้รุ่น Flagship เท่านั้น (ซึ่งก็ไม่ได้ดูแลดีไปกว่ากันเท่าไร) ถ้าวันนี้คุณซื้อ Samsung Galaxy S4 คุณจะได้ Android 4.2 แต่พอ Google ออก 4.3 คุณต้องลุ้นแล้วว่า Samsung จะทำ Firmware ให้หรือไม่ ถ้าใช้งานไปจนถึงปีหน้า คุณต้องวัดใจแล้วว่า Samsung จะยังดูแลคุณหรือไม่หลังจากที่ออก Galaxy S รุ่นต่อไปแล้ว และถ้าผ่านไปสักปีครึ่งหรือสองปี คุณควรจะทำใจได้แล้วว่ามีโอกาสโดนทอดทิ้งแหงๆ (ถ้ายังไม่โดนทิ้งคุณอาจจะได้ใช้ Android เวอร์ชั่นใหม่หลังจากเปิดตัวไปแล้วเกือบปี)

ถ้ายังอยากจะให้โทรศัพท์แสนแพงของคุณยังคงทันยุคสมัย ก็มีทางเลือกที่ดีคือ Root แล้วลง Custom ROM ซะ (ที่ผมใช้อยู่ก็คือ CyanogenMod ซึ่งถือว่าดีมาก) แต่เสถียรภาพของโทรศัพท์จะเปลี่ยนไปครับ เพราะจนถึงทุกวันนี้ยังไม่มี Custom ROM ตัวไหนที่ Stable 100% และคุณก็คงไม่อยากให้โทรศัพท์ของคุณ (ที่ทันสมัยด้วยการอัพ ROM แล้ว) มาเกิดปัญหาแบบไม่เข้าท่าในเวลาสำคัญๆ หรอกจริงมั้ย

การอัพเดท OS หรือ Firmware นั้นสำคัญแค่ไหน สำคัญมากครับ เพราะนั่นคือการที่เราจะได้ใช้คุณสมบัติใหม่ๆ ของระบบปฏิบัติการโดยที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อเครื่องใหม่ครับ ทั้งการเพิ่มลูกเล่นหรือแม้แต่การอุดช่องโหว่เพื่อความปลอดภัย มันคือสิ่งที่ลูกค้าควรจะได้รับเมื่อเขาได้จ่ายเงินซื้อสินค้าแพงๆ ไปแล้วครับ

----

ผมซื้อ iPhone 5 ด้วยราคา 20,900 บาทมาเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2556 และก็ตั้งเป้าไว้ว่า ต้องใช้ไปอย่างน้อยๆ ก็คือสามปีเท่ากับเครื่องเก่า ถ้าเอาราคามาหารๆ แล้ว 20,900 สามปี ก็ตกปีละ 6,900 กว่าบาท เทียบกับอายุการใช้งานและประสิทธิภาพแล้วผมถือว่าเหมาะสมมากๆ ครับ ส่วน iPhone 4 เครื่องเดิมก็ไม่ได้ขายต่อหรือทิ้งไปไหนครับ ส่งต่อไปถึงมือพ่อของผมเรียบร้อย ซึ่งจากรูปแบบการใช้งานสไตล์คนแก่ไม่รีบร้อนของพ่อผมที่เน้นโทรเข้าโทรออก ถ่ายรูปทั่วไป แล้วก็เล่นเน็ตอยู่กับบ้านแล้วเนี่ย ผมว่าพ่อคงใช้ไปอีกนานหลายปีเลยละครับ

ถือว่า iPhone แม้จะเป็นโทรศัพท์ที่ราคาแพงจนน่าตกใจไปนิด แต่ในระยะยาวแล้วถือว่าใช้งานได้คุ้มจริงๆ ครับ :)

ไม่มีความคิดเห็น: