เมื่อวันเสาร์ (28 ก.พ.) ไปลองของแปลกมาครับ
คือได้ใบปลิวงานสวดภาณยักษ์ของวัดหนึ่งแถวเขาขาด มาเสียบไว้ที่รถมอเตอร์ไซค์เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน
ด้วยความอยากรู้ก็เลยตั้งใจว่าจะไปดู เพราะผมเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่า ไอ้ที่เรียกว่าสวดภาณยักษ์นี่มันเป็นอย่างไร (เคยเห็นในหนังเรื่องจอมขวังเวทย์แค่นั้นเองแหละ)
ทีนี้พอจะไำปเข้าจริงๆ ผมชักไม่แน่ใจครับ เลยลองหาข้อมูลเพิ่มเติมจากอินเตอร์เน็ตดูเพื่อเตรียมความพร้อม ก็ไปเจอรายละเอียดเยอะแยะพอสมควร ขอตัดมาเอาแค่พอเข้าใจนะครับ อยากอ่านแบบละเอียดก็ติดตามที่ Link เอาละกัน
การสวดภาณยักษ์
(ตัดเนื้อหาบางส่วนจากเว็บ http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=15015)
ความหมาย
คำว่า “ภาณ” ตามความหมายในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
ปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ให้ความหมายว่า การบอก การกล่าว การสวด
ดังนั้นเราใช้ว่า “สวดภาณ” จึงเป็นการซ้อนคำ ซ้ำความหมาย
บางทีเรียกว่า “สวดภาณยักษ์”
ประวัติความเป็นมา
การสวดภาณยักษ์ได้เริ่มมีขึ้นในประเทศไทย
เข้าใจว่าตั้งแต่ครั้งสมัยของพ่อขุนรามคำแหง
ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากพระสงฆ์ทางลังกาสายเถรวาท
โดยเริ่มเข้ามาทางด้านจังหวัดนครศรีธรรมราช
จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
เสด็จนครศรีธรรมราชจึงได้นำมาจัดเป็นพิธีประจำปี สำหรับพระนคร
เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่พระนคร และแก่พระเจ้าแผ่นดิน
รูปแบบ
เมื่อเริ่มพิธีกรรม
จะมีพระสงฆ์ที่ยกย่องกันว่าเชี่ยวชาญเชิงอาคมและขมังเวทย์จำนวนสี่รูป
นั่งบนอาสนะประจำทิศทั้งสี่ อีกสี่รูป รวมกันอยู่ด้านหน้าพิธี
ท่องบทสวดและผสมเสียงใส่กัน ฟังคล้ายเสียงประกอบหนังสยองขวัญ
ลี้ลับดุดันน่าขนลุก และออกจะน่ากลัวสำหรับคนจิตอ่อน
หลังการสวดดำเนินไปสักพักก็ถึงช่วงสำคัญ
พระสงฆ์ที่นั่งประจำทิศทั้งสี่เริ่มประพรมน้ำมนต์
ผู้ร่วมพิธีบางคน (ที่เชื่อว่ามีสิ่งของไม่ดีอยู่ในตัว)
จะออกอาการแปลกๆ บางคนร้องไห้โฮ บ้างสั่นเหมือนเจ้าเข้า
และผู้หญิงบางคนก็ออกท่าทางร่ายรำ
และคนเหล่านี้ก็จะได้รับการช่วยเหลือจากหมู่พระสงฆ์เหล่านั้นให้คืนสู่สภาพปกติ
เบื้องหลัง
แต่ในปัจจุบัน
การสวดภาณยักษ์ได้กลายเป็นพุทธพาณิชย์เชิงธุรกิจแล้ว
มีนายหน้ามาขอเช่าสถานที่ของวัด
จัดพิธีสวดฯ กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
มีหน้าม้า ค้าวัตถุมงคล ผ้ายันต์ สารพัด
ซึ่งเป็นธุรกิจที่หากินกับความศรัทธาของชาวพุทธ
ที่ยังไม่เข้าใจถึงพระธรรมคำสอน
ของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง
อ่านถึงช่วงท้ายๆ ของบทความก็ชักจะมองเห็นภาพแล้วละครับว่าไปแล้วจะเจออะไร ผมก็เลยไปแบบไม่ค่อยซีเรียสอะไรมากนัก แล้วก็เตรียมกล้องติดไปด้วย (O2 Zinc ตัวเดิมแหละ)
ตอนแรกพอไปถึงที่วัด เขาให้ผมเอารถมอเตอร์ไซค์ไปจอดในที่ๆ เขาเอาไว้ให้จอด เขาบอกว่า เดี๋ยวพอเริ่มสวด จะเอาสายสิณจน์มาคล้องที่รถด้วย ..ก็ว่ากันไปครับ
ซุ้มหน้าศาลาบริเวณหน้าศาลาที่จะขึ้นไปฟังสวดก็มีซุ้มให้บูชาเทพเยอะแยะครับ ทั้งพระราหู (เสียตัง 39 บาท) พระพรหม (ตามศรัทธา) และอื่นๆ ..ผมไม่เสียตังครับ ยืนดูดีกว่า
พอขึ้นไปบนศาลาก็จะพบกับด้ายสายสิญจน์โยงเป็นตารางๆ เต็มไปหมดเลยครับ ระหว่างรอเวลาก็มีการถวายสังฆทาน / ทำบุญพระประจำวันเกิด / ทำบุญ ฯลฯ ตามปกติทั่วๆ ไปครับ จนกระทั่งได้เวลาจะเริ่มพิธี พระก็จะบอกให้คนที่จะเข้าพิธี ไปรับขันใส่ของที่จะใช้ทำพิธี แล้วเข้ามานั่งที่เดิม ผมก็ไปครับ..
ตรงนี้หมายถึงค่าพิธี ในใบปลิวบอกไว้ว่าคนละ 99 บาท แต่เอาเข้าจริงให้ไป 100 นึง
ไม่ทอนครับขันที่ได้มาก็มีหน้าตาดังนี้ครับ

จริงๆ แล้วจะมีใบโพธิ์เงินโพธิ์ทองอีกอย่างละอัน เขาให้เอาไปเสียบแบงค์ แล้วก็เอาไปปักไว้ที่ซุ้มข้างนอกเพื่อไหว้พระอะไรซักอย่างนี่แหละครับ ตรงนี้ผมก็ปักไม้เปล่าไปเฉยๆ (แล้วก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อย Happy แล้ว)

นี่คือข้างใน Package ที่ได้มา มีอะไรบ้างก็ดูเอาตามนี้ครับ จากซ้ายไปขวา
1. พระพิคเนศวร ให้มาเฉยๆ ครับ
2. ถุงใส่ด้ายสายสิญจน์ กับของ 4 อย่างคือ ข้าวสาร, ข้าวเปลือก, ถั่วเขียว และทราย
3. ยันต์รูปท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวเวสสุวรรณคือใครไปอ่านใน Link เอาครับ)
4. ยันต์เกราะเพชร
ของเหล่านี้เมื่อเสร็จพิธีแล้วพระจะให้เอากลับไปที่บ้าน ยกเว้นขันพลาสติกที่ต้องคืนครับ
พระก็จะให้เราเอาสายสิญจน์ในถุง มัดกับผ้ายันต์รูปยักษ์ แล้วเอาไปแขวนไว้กับสายสิญจน์ด้านบนครับ
ส่วนปลายอีกด้าน เอามาพันกับผ้ายันต์เกราะเพชร แล้วเอามาพันบนหัวครับ

ผมก็นึกว่าจะเริ่มพิธีแล้ว .. แต่ยังหรอกครับ ผมต้องรอไปอีกประมาณเกือบ 30 นาที เพราะทางวัดมีเทียนปลุกเสกมาให้บูชาอีกครับ คู่ละ 99 บาท สรรพคุณก็ ฯลฯ ดีทุกอย่าง เขาจะให้คนบูชาเทียนที่ว่านี้ไป แล้วก็เอาำไปจุดต่อจากเทียนเริ่มพิธีของพระครับ (เทียนพิธีนี้จะหน้าตาเหมือนกับเทียนที่ใช้ในพิธีปลุกเสกจตุคามฯ) ผมนั่งฟังทางวัดพรีเซนต์คุณค่าของเทียนที่ว่านี้เหมือนกับดูรายการ Quantum Television ยังไงยังงั้น
หน้าตาของเทียนวิเศษที่ว่า (มีคนนั่งหน้าผมไปเสียตังบูชามา)
จำนวนคร่าวๆ ของบรรดาผู้ศรัทธาที่บูชาเทียนวิเศษไปครอบครองระหว่างรอผมลงไปดูที่รถ อ๊ะมีคนเอาสายสิญจน์มาพันไว้จริงๆ ด้วย
รถคันนี้มีของดี เพราะเจิม (ท้ายรถคนอื่น) มา 3-4 รอบแล้ว...ขายเทียนเสร็จก็เริ่มสวดได้ซักทีครับ สวดรอบแรกใช้เวลาประมาณ 20 นาที บทสวดที่พระสวดในรอบแรกนั้นก็เป็นพวกบทสวดทั่วๆ ไปที่เราสวดกันจากหนังสือคู่มือสวดมนต์ทั้งหลายนั่นเองครับ (สำหรับใครที่เคยไปเข้าค่ายธรรมะที่วัดคีรีวงษ์ก็คงนึกออก มันคือบทสวดยาวๆ ที่เราสวดกันตอนทำวัตรเช้า-วัตรเย็นนั่นเองครับ)
ผมนั่งงงอยู่นานว่านี่หรือคือสวดภาณยักษ์ ..มันก็สวดธรรมดาๆ นี่เอง ท่องทำนองก็เรียบราบไม่เห็นเหมือนที่ในเว็บเขาว่าเลย จนสวดเสร็จนั่นแหละครับพระถึงเฉลยว่า ที่สวดไปนั้นเป็นการสวดเพื่อให้คุ้มครองเราจากภัยอันตรายต่างๆ โดยอาศัยยันต์เกราะเพชรที่พันอยู่บนหัวเราครับ ..สรุปคือยังไม่ได้สวดภาณยักษ์ของจริงนั่นแหละ แล้วพระก็จะให้เราพักไปเข้าห้องน้ำ ทานขนม แล้วค่อยขึ้นมาต่อครับ
(จุดสังเกตที่ใครๆ ก็สนใจคือบรรดาคนมีของทั้งหลาย ผมเห็นอยู่ 2-3 คนมีอาการของขึ้นขณะที่พระสวดในรอบแรก ...แต่บทที่พระสวดนี่มันทั่วไปมากเลยนะครับ คือเราก็สามารถสวดเองได้จากหนังสือสวดมนต์ทั่วไป ผมสงสัยว่าคนเหล่านี้จะมีอาการของขึ้นหรือเปล่าเวลาไปทำบุญที่วัดในวันพระ หรือเวลาที่สวดมนต์ไหว้พระอยู่กับบ้าน ...อืมมมมันยังไงกันเนี่ย)
ระหว่างช่วงพัก พระท่านก็จะเทศนาเกี่ยวกับการสวดภาณยักษ์ ซึ่งตรงนี้ต้องมีกัณฑ์เทศน์ด้วยครับ แล้วแต่ศรัทธา -- แต่ถ้าศรัทธา 100 บาทจะได้รับของ 3 อย่าง (ลูกประคำ, สีผึ้ง และพระเครื่อง) สำหรับสีผึ้งนี้มีทีเด็ดครับ ผมได้ยินกับหูเลยเพราะพระท่านบอกเองว่า เวลาเราไป
เล่นไพ่ ถ้าอยากกินเงินเขาให้ใช้สีผึ้งนี้ด้วยจะได้เงินแน่นอน ...
ขันกัณฑ์เทศน์เต็มแล้วก็มาเริ่มสวดภาณยักษ์เสียทีครับ คราวนี้ยอมรับเลยว่าตื่นเต้นมาก ของแปลกแต่จริงครับ เสียงสวดของพระนั้นฟังดูน่ากลัวมากๆ ทั้งดุดัน โหยหวน คำราม แล้วก็มีทำนองสูงต่ำแบบแปลกๆ เชื่อแล้วครับว่าคนจิตอ่อนไปฟังก็เหวอได้ง่ายๆ เลย ตอนเริ่มสวดจะมีกาีรจุดประทัดที่ด้านนอกด้วย เลยทำให้ดูน่ากลัว กดดันไปเยอะทีเดียว
ช่วงนี้เองที่หลายๆ คนเริ่มอยู่ไม่สุขแล้วครับ เพราะมีคนที่ออกอาการของขึ้นอยู่หลายคนเลย ก็เลยกลายเป็นที่สนใจจากคนอื่นๆ รวมทั้งผมที่ต้องชะเง้อคอดูรอบๆ ตัวด้วยความตื่นเต้น มีทั้งคนที่ออกท่าทางเป็นลิงเป็นเสือ กางแขนออกรำ แล้วก็มีคนที่ร้องไห้ ร้องกรี๊ดดังลั่นด้วย
จะเห็นชายในกลางภาพกำลังนั่งชันเข่าอยู่ พร้อมทั้งออกอาการสั่นไปทั้งตัวด้วยช่วงท้ายผมแทบไม่ได้ถ่ายรูปเลย เพราะมัวแต่ดูคนของขึ้นรอบๆ ตัว ซึ่งก็ตื่นเต้นมากครับ บทสวดภาณยักษ์นี้ใช้เวลาประมาณเกือบ 20 นาที พอสวดเสร็จก็จะมีการครอบครูโดยพระ 2 รูป ซึ่งแล้วแต่ศรัทธาครับ
ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับสวดภาณยักษ์ยังไงต้องยอมรับว่า ในขั้นตอนการสวดภาณยักษ์นั้นเป็นอะไรที่ประทับใจมาก เพราะมันแปลกแบบสุดๆ เนื้อหาและท่วงทำนองการสวดของพระนั้น น่าสนใจกว่าพวกของขึ้นเสียอีก ถ้าใครที่ไม่เคยเห็นของจริง มีเวลาก็น่าไปดูนะครับ ไม่ต้องถึงกับไปเข้าพิธีให้เสียตังก็ได้ สาเหตุที่ผมไปก็เพราะอยากรู้อยากเห็นนี่แหละครับ และด้วยเพราะความไม่รู้ไม่เคย ก็เลยทำให้เสียตังไปพอสมควรอยู่ ..สรุปแล้ว ทำแล้วจะดีหรือไม่ดี ชาวพุทธอย่างเราใช้สติพิจารณาก่อนจะดีที่สุดครับ
ของแถม (ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของผู้อ่าน)หลังจากออกมาจากวัด แวะทานข้าวมีคนขายล็อตเตอรีมาชวนซื้อก็ไม่ซื้อ (ปกติก็ไม่เคยซื้อ) วันนี้หวยออกเลขท้ายสองตัวเป็นป้ายทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์ผม แม่บอกเห็นมั้ยเอารถไปฟังสวดแล้วออกเลขรถเลย ฮากันทั้งบ้าน 55555+