หน้าเว็บ

07 มิถุนายน 2557

191 | My Macbook Pro !!! (Cont.)

ตอนที่แล้ว : 190 | My Macbook Pro !!!

เขียนต่อกันเลยครับ ขณะนี้เวลา 9.11 น.ปรินท์งานที่จะให้อาจารย์ดูบ่ายนี้เรียบร้อยแล้ว จะนอนตอนนี้ก็กลัวไม่ตื่นเลยต้องหาอะไรทำรอเวลาไปก่อนครับ (แต่คงไม่ใช่งานเพราะสมองไม่ไปแล้วจ้า)

มาเล่าถึงประสบการณ์ใช้งาน Macbook Pro กันต่อครับ ขออนุญาตแบ่งเป็นส่วนๆ เพื่อความเข้าใจง่ายและกันคนเขียนมึน (เพราะความง่วง)

Hardware

เคยอ่านจากเว็บไหนจำไม่ได้ละเขาบอกว่า ทุกคนที่ซื้อ Macbook จะมีความประทับใจแรกเมื่อตอนแกะกล่องก็คือ "กลิ่น" ครับ เห็นว่าเป็นกลิ่นของโลหะ กลิ่นของใหม่ กลิ่นกล่อง กลิ่นพลาสติกและอะไรอื่นๆ ในกล่องรวมกัน เป็นกลิ่นที่ประทับใจสุดๆ ซึ่งผม "พลาด" ครับ พนักงานมันแกะกล่องให้ในร้าน ดมไม่ทัน ก็เลยไม่รู้ว่าไอ้กลิ่นที่ว่ามันเป็นยังไง

สัมผัสต่อมาคือ "ไฟดูด" ครับ ตัวเครื่องมันโลหะเกือบหมดเลย เท้าเปล่าแตะพื้นจับยังไงก็ดูด เวลาใช้งานนี่ต้องระวังพอสมควรครับ ดูดบ่อยๆ ก็ใช่จะดี

แต่สิ่งที่ประทับใจมากคือ ความเป็นโลหะของเครื่องครับ มันดูแข็งแรงทนทานมาก มีเหลี่ยมมีมุมที่คมๆ แต่ก็ทำให้รู้สึกถึงความแกร่งของมัน ส่วนจอนี่ก็สวยงามภาพชัดสมคำร่ำลือครับ (ถึงจะไม่ใช่ Retina Display ก็เหอะ) อีกจุดที่พอใจมากๆ คือแป้นพิมพ์ครับ มันให้สัมผัสที่พอดีมากๆ ไม่แข็งไม่ยวบเกินไป พิมพ์แล้วสบายนิ้ว แถมมีไฟด้วยนะ (จริงๆ ยี่ห้ออื่นก็มีแต่ผมยังไม่เคยใช้)

ส่วนพวกสายไฟนี่เฉยๆ ครับ เหมือนสายชาร์ตของ iPhone, iPad แปลกตรงที่ Adapter มันไม่ใหญ่มากเท่าไร พกพาง่ายดีครับ

Port ที่ให้มาของรุ่นนี้ก็มี ช่อง LAN 1 ช่อง, Thunderbolt 1 ช่อง, Firewire 1 ช่อง (ยังไม่รู้จะเอาไปเสียบกับอะไร), SDXC สำหรับเสียบการ์ดจากกล้อง 1 ช่อง (ผมไม่มีกล้องอันนี้เลยเฉยๆ) แล้วก็ USB 3 ให้มา 2 ช่อง อันนี้แอบดีใจเพราะตอนซื้อไม่ได้ดูสเปคก็เลยคิดว่าคงเป็น USB 2.0 แต่พอรู้ว่าเป็น 3 ก็พอใจมาก นอกจากนี้ก็เป็นช่องเสียบสายชาร์ตที่ทำเป็นแม่เหล็ก (Surface เอาไปทำมั่งแต่เสียบยากกว่ามาก) แล้วก็ DVD Drive (รุ่น Retina Display ไม่มีแล้วนะ)

ส่วนแบตที่เคลมว่าอยู่ได้ 7 ชม.นั่นเอาจริงๆ ไม่ถึงหรอกครับ (ในเว็บ Apple บอกว่า 7 ชม.นี่คือเล่นเน็ตผ่าน Wireless สถานเดียวเท่านั้น) แต่ใช้งานทั่วไปเช่นทำงานไปเปิดเพลงไปก็ประมาณ 4 ชม.กว่าครับ ถ้าไม่เปิดเพลง + ปิดไฟ Keyboard + ลด Brightness หน้าจอนี่ดึงไปถึง 6 ชม.ได้อยู่ ส่วนตอนที่สลับมาใช้ Windows 8.1 Pro นี่ 6 ชม.กว่าสบายๆ เลยครับ (Windows 8.1 ขึ้นชื่อเรื่องประหยัดพลังงานอยู่แล้ว)

ไอ้ที่ฮาคือมันมีปุ่มให้กดดูปริมาณไฟในแบตด้วยครับ (เหมือนพวกแบตสำรองมือถือ) อันนี้ชอบสุดๆ แบบว่ามันสะดวกมาก กดดูได้ทั้งตอนเปิดหรือปิดเครื่องเลย เป็นอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่เยี่ยมจริงๆ


Keyboard มีไฟที่ผมตื่นเต้นมาก

Software

อันนี้ถือว่าเปิดโลกทัศน์เลยครับ คือไม่คิดมาก่อนว่า OS บนคอมพิวเตอร์มันจะมีอะไรที่ใช้ง่ายขนาดนี้ ง่ายเกินไปจนน่าตกใจว่าที่ผ่านมากูมัวใช้อะไรอยู่

ใช้ง่ายกรณีนี้คือไม่เกี่ยวกับพวกปุ่มหรือ Function ที่ไม่เหมือนกับ Windows นะครับ อันนั้นถือว่าเป็นความคุ้นเคยมากกว่า แต่ง่ายในที่นี้คือ การ Config อะไรๆ มันดูเล็กน้อยไปหมด หลายๆ ส่วนมีวิดีโออธิบายอีกนะ ประมาณว่าถ้าอ่านไม่รู้เรื่องก็ดูภาพเอา เอาง่ายๆ แค่ System Preferences (เทียบกับ Windows ก็คือส่วนของ Control Panel) มันมีอะไรให้ปรับไม่เยอะมากนัก แถมแต่ละอันก็มีรายละเอียดน้อยนิดแต่กลับตอบโจทย์ผู้ใช้ได้ค่อนข้างครอบคลุม อันนี้อาจจะขัดใจนักปรับแต่ง Windows อยู่บ้างแต่ถ้ามองถึงความสะดวกแล้วมันสะดวกจริงๆ ครับ


System Preferences ทั้งหมดมีแค่เนี้ย
(แถวล่างสุดน่าจะเป็นพวก Setting ของ Plug In ที่เราลงเพิ่มครับ)

ซอฟต์แวร์ที่มีมาให้พร้อมเครื่องก็ถือว่ารองรับการทำงานได้ครอบคลุมครับ มีโปรแกรมตระกูล iWork มาให้ (Pages, Numbers, Keynote) ดูหนังฟังเพลงก็ iTunes จัดการรูปภาพก็ iPhoto เล่นเว็บก็ Safari ส่วน File Explorer ในนี้มันชื่อว่า Finder ครับ หาได้ทุกอย่างจริงๆ

นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมเฉพาะทางที่ลงมาให้แล้วอีกอย่าง Garageband (ต่างกับใน iPad ลิบลับเลยครับ), iMovie (อันนี้ยังไม่ได้ลอง) นอกนั้นก็โปรแกรมทั่วไปที่คุ้นเคยกันใน iOS อย่างพวก Mail, Calendar, Reminder, Maps, Game Center อ้อมี Facetime ด้วย ที่สำคัญมี iCloud ด้วยนะครับ อะไรๆ ที่เก็บไว้บน iOS มันก็จะมาอยู่บน Mac OS X ได้อย่างง่ายดายสุดๆ ครับ


หน้าจอ Launchpad ดูโปรแกรมต่างๆ ที่ลงไว้ในเครื่องเรา หน้าตาราวกับ iOS


หน้า Desktop ของ Mac OS X Maverick

พวกโปรแกรมอื่นๆ ที่จะลงเพิ่ม ก็สามารถหาได้จาก Mac App Store ครับ (ส่วนใหญ่เสียตังค์แถมแพงอีก) หรือจะหาโหลดจากตามเว็บก็ได้ครับ ซึ่งส่วนใหญ่สมัยนี้จะทำมาเป็นไฟล์ dmg คือลักษณะเหมือน Image File เวลาเปิดมันก็จะ Mount File นั้น แล้วก็ขึ้นหน้าจอให้เราติดตั้งโปรแกรม วิธีติดตั้งก็ง่ายบัดซบครับ ไม่ต้องกด Next อะไรเลย ลากไฟล์โปรแกรม (มักจะอยู่ด้านซ้าย) มาใส่ในโฟลเดอร์ Applications ที่ตัวติดตั้งมันทำ Shortcut ไว้ให้ (มักจะอยู่ด้านขวา) แค่นั้นเอง จบ O_O

แล้วพอไปดูในโฟลเดอร์ Applications ที่รวมโปรแกรมที่ลงไว้ (เหมือนโฟลเดอร์ Program Files ของ Windows) ก็อึ้งครับ คือโปรแกรมนึงก็ไฟล์นามสกุล .app ตัวนึง (ในกรณีที่เป็นโปรแกรมทั่วไปที่ไม่ได้ใหญ่โตมาก) เวลา Uninstall ก็ลากไอ้ .app นั่นแหละครับลงถังขยะ (Windows เรียก Recycle Bin ในนี้เรียก Trash) แค่นั้น !!???

(แต่ถ้าจะ Uninstall แบบเกลี้ยงๆ เลยก็ใช้โปรแกรม Utilities ตัวอื่นช่วยแทนครับจะลบได้สะอาดสะอ้านกว่า)


ตัวอย่างหน้าจอ Install VLC Media Player ครับ ลากไอคอนรูปกรวยไปที่โฟลเดอร์ Applications (จริงๆ มันเป็น Shortcut) แค่นั้นเอง ง่ายไปปะวะ


ในโฟลเดอร์ Applications ครับ โปรแกรมนึงก็ไฟล์ .app ไฟล์นึง อยากลบโปรแกรมไหนก็ลากอันนั้นลงถังขยะ



เว็บโหลดโปรแกรม Freeware, Shareware แหล่งประจำของผม Filehippo.com ก็มีโปรแกรมของ Mac OS X ให้โหลด

ต่อไปนี้คือพวกโปรแกรมใช้งานที่ผมคุ้นเคยมาจาก Windows แล้วก็เพิ่งรู้ว่ามันมีเวอร์ชั่น Mac OS X ด้วยครับ และแน่นอนผมก็จัดการลงและทดสอบไปบ้างแล้ว ก็ใช้งานได้ดีไม่ต่างกันเลยครับ


VLC Media Player เอาไว้ดูหนัง จริงๆ ดูใน iTunes ก็ได้แต่ผมติดแบรนด์ VLC มากกว่า


uTorrent เอาไว้โหลดบิต


Twitter Client คล้ายๆ ใน iOS เลยครับ เล็ก ง่าย ไม่ซับซ้อน


Deezer เอาไว้ฟังเพลงออนไลน์ ตัวนี้ยัง Beta อยู่


Protege โปรแกรม Ontology Editor ตัวหากินของผม ไม่มีโปรแกรมนี้อาจเรียนไม่จบ (จริงๆ ต้องมี Eclipse อีกตัวแต่ยังโหลดไม่เสร็จ)


CCleaner โปรแกรม Utility ประเภททำความสะอาดลบไฟล์ขยะ เป็น Freeware ที่ดีมากๆ ใช้มาหลายปีแล้ว



Google Chrome แต่ผมพยายามจะเปลี่ยนมาใช้ Safari เพราะหลังๆ รู้สึก Chrome จะอลังการเกินไปจนเปลืองทรัพยากรเครื่อง


Handbrake โปรแกรมแปลงไฟล์วิดีโอที่ใช้ดีมากๆ อันนี้มีมาในเครื่องแล้วสงสัยร้านมันแอบลงมาให้


LINE มี LINE ด้วย !!! (ไปแม่งทุกระบบ) แต่ผมไม่ได้ลองเลยไม่รู้ว่าเหมือนในมือถือรึเปล่า


หน้าจอ Mac App Store ครับ คล้ายๆ ใน iOS แหละ


เกมก็มีครับ อย่างเกมฟอร์มยักษ์ที่น่าสนใจคือ Diablo III ผมกำลังโหลด Starter Edition มาลองอยู่ว่ากราฟิกมันจะพอไหวมั้ย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะโหลดเสร็จชาติไหนครับ

Cross Platforms Compatibilities

อันสุดท้ายที่อยากจะกราบทั้ง Microsoft ทั้ง Apple คือ ความเข้ากันได้ของทั้งสอง OS จากทั้งสองค่าย คือนอกจากเราจะสามารถลง Windows ผ่าน BOOTCAMP แล้ว ใน Mac OS X ยังมองเห็นพาร์ทิชันที่เป็น Windows ใน BOOTCAMP ด้วยครับ (ลักษณะคือ BOOTCAMP จะกลายเป็นพาร์ทิชันนึงที่มี Windows อยู่ข้างใน) ส่วนเวลาเราบูตเข้า Windows ก็จะเห็น BOOTCAMP (คือตัวมันเอง) เป็น Drive C:\ ส่วนพาร์ทิชันที่เป็น Mac OS X มันจะมองเป็น Drive อีกอันนึงครับ (ของผมแบ่งแค่ 2 พาร์ทิชันคือ Mac OS X กับ BOOTCAMP เพราะงั้นใน Windows จะเห็น Mac OS X เป็น Drive D:\)

ข้อดีมันคือ จะเก็บไฟล์ไว้ที่ไหนก็ได้ครับ เก็บไฟล์เอกสารไว้ใน Windows พอบูตเข้า Mac OS X ก็เปิดไฟล์ได้ หรือ Sync เพลงผ่าน iTunes ใน Mac OS X เวลาทำงานเอกสารใน Windows ก็เอาเพลงมาเปิดฟังได้ อะไรประมาณนี้ ซึ่งผมว่ามันยอดมากครับ เห็นแก่ความสะดวกของผู้ใช้จริงๆ

(แต่เรื่องที่เอาไฟล์จาก Microsoft Office กับ iWork มาเปิดข้ามกันนี่ไม่เกี่ยวนะครับ ปัญหาอมตะนี้คงไม่มีวันแก้ได้ตลอดกาล 55555+)

ถึงแก่เวลาที่ผมต้องเตรียมตัวไปส่งงานอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว เอาไว้ถ้ามีเวลาว่างๆ ได้ลองหัดใช้งานจริงๆ สักพักนึงแล้วจะมาเล่าสู่กันฟังต่อนะครับ

แต่ ณ ตอนนี้สรุปสั้นๆ ได้เลยว่า พอใจมากกกกกกกก :)


(Entry นี้และ Entry ที่แล้วเขียนแก้ง่วงระหว่างรอเวลาไปส่งงานอาจารย์หลังจากโหมงานมาหลายวันหลายคืนติด)

ไม่มีความคิดเห็น: