หน้าเว็บ

28 กันยายน 2553

145 | วันที่น่าจดจำ

ช่วงนี้โคตรขี้เกียจเขียน Blog เลยครับ

ก็อย่างที่เห็นกัน (ถ้ายังอ่านกันอยู่ 555) คือผมไม่ได้เขียน Blog มาเกือบ 4 เดือนแล้ว ถ้านับเดือนมิถุนายนที่เขียนเรื่องซื้อมือถือใหม่เรื่องเดียว ผมก็ไม่ได้เขียนอะไรอีกเลย ตลอดทั้งเดือนกรกฏาคมและสิงหาคม (ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เว้น Blog ไว้เต็มๆ เดือน) แล้วก็เกิดอยากจะมาเขียนอะไรนิดหน่อยเอาวันนี้ซึ่งเป็นปลายเดือนกันยายน โอ้ว...ผมไม่ได้หายหน้าหายตาไปจากโลกออนไลน์นะครับ เพราะว่าการเคลื่อนไหวของผมใน facebook และ foursquare ยังคงต่อเนื่องเหมือนเดิม (จะมีแต่ twitter ที่นานๆ เข้าที แต่ยังยิงรูปจาก twitpic กับพิกัดจาก foursquare อยู่)

แล้วชีวิตที่หายไปจาก Blog สุดรักนี้ ผมไปทำอะไรมาละ

ที่จำได้แบบคร่าวๆ ก็คือ ผมก็ทำงานสอนไปตามปกติ พร้อมกับเตรียมงานร่างพัฒนาหลักสูตรใหม่ แล้วจู่ๆ ก็ต้องไปดูงานติดต่อกันถึง 3 ที่คือ งาน wunca ม.เทคโนโลยีสุรนารี (ได้กระเป๋าโน้ตบุ้คกับเสื้อ STU มา) ตามด้วยหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และงานพัฒนาหลักสูตรที่ จ.พระนครศรีอยุธยา หลังจากกลับมาก็เร่งงานพัฒนาเว็บ ตามด้วยงานเขียนเอกสารประกอบการสอน (เพื่อใช้ประเมินต่อสัญญาจ้าง) และก็แวบไปหา Advisor ที่ มน. เอา Paper ไปส่ง (และโดนสั่งให้กลับมาแก้อีกบานตะไท) สุดท้ายก็เพิ่งจะปิดงานเว็บ, หลักสูตร และเอกสารประเมินไปพร้อมๆ กันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง

ที่น่าจดจำมากก็คือ สภาพของผมเมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่แล้ว ผมอยู่ในสภาพเงินเดือนหมดเกลี้ยง หมดชนิดที่ว่าควานหาเศษเหรียญตามที่ต่างๆ ในห้องนอนและห้องทำงานมารวบรวมแล้วใช้จ่ายให้พอพ้นไปวันๆ มาม่าสามมื้อต่อวันกลายเป็นเรื่องปกติ ที่หนักๆ ก็คือผมวิกฤตขนาดที่เวลาเลิกงานต้องขับรถกลับบ้านช้าๆ เพราะว่าถ้าน้ำมันหมดแล้วจะไม่มีเงินเติม และถ้าเกิดอุบัติเหตุเช่น ยางรั่ว ผมก็ไม่มีแม้แต่เงินมาปะยาง !!! ทั้งหมดนี้ไม่ได้โทษใครหรอกครับ แต่มันเกิดจากการที่ผมไม่รู้จักระมัดระวังเรื่องการใช้เงินเอง

แล้วสภาพแบบนั้นแหละครับ ผมต้องนั่งทำงานอยู่ที่มหาลัยเพื่อจัดการทุกอย่างให้เสร็จทันกำหนด เวลางาน 8 ชั่วโมงไม่เพียงพอเสียแล้ว ภาพที่ผมขี่มอเตอร์ไซค์ช้าๆ ออกจากมหาลัยตอนตี 1 ตี 2 คงเป็นภาพชินตาของเหล่ายามหน้าประตูที่เห็นกันตลอดช่วง 2-3 สัปดาห์นั้นเลยทีเดียว สภาพแบบนั้นเป็นอะไรที่ติดตรึงใจมากครับ มันมีทั้งความเหนื่อย ความท้อแท้ ความหิว ความเครียดแบบจิตตกสุดๆ ไอ้การจะไปคลายเครียดพักสายตากับเบียร์ซักกระป๋องแล้วกลับมาทำงานต่อยังเป็นไปไม่ได้เลยในช่วงเวลานั้น

มาถึงตอนนี้ เมื่อเหตุการณ์มันผ่านพ้นไปหมดแล้ว ผมรู้สึกว่าอะไรบางอย่างในตัวผมเริ่มเปลี่ยนไปบ้างแล้วครับ ในเรื่องงานผมเข้าใจดีถึงความจำเป็นในการทำงานให้เสร็จตามกำหนดเวลา และมันก็ทำให้เราแกร่งขึ้น ทนงานขึ้นมาอีกเยอะ (เคยเจอสภาพคล้ายๆ กันแบบนี้มาสองครั้งคือ โปรเจ็ค ป.ตรี และ IS ป.โท ซึ่งแต่ละครั้งมันก็ทำให้ผมทนทายาดขึ้นอีกเยอะเลย) ส่วนเรื่องเงินทองตอนนี้แม้จะมีเพียงเหรียญบาทสักเหรียญหล่นอยู่ตรงหน้า ผมก็จะเห็นมันเสมือนว่ามีสร้อยคอทองคำตกอยู่แบบนั้นเลยเชียว ผมเข้าใจค่าของเงินมากขึ้นอีกนิดหลังจากที่ได้พบกับรสชาติชีวิตตรงนั้นมา วันนี้ทุกอย่างกลับสู่สภาพปกติแล้วครับ และผมก็ได้รับผลตอบแทนจากความเหน็ดเหนื่อยตรงนั้นมา หลังจากที่ได้ให้รางวัลกับตัวเองไปพอสมควรแล้ว ผมจะสัญญากับตัวเองว่าผมจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีกเป็นอันขาด

ทำงานมาเกือบ 5 ปี วันนี้เป็นวันที่ตัวเลขในบัญชีของผมสวยงามที่สุดเท่าที่มันเคยมีมาเลยครับ รู้สึกว่าภูมิใจจริงๆ ที่เรายังทนอยู่ได้มาจนถึงวันนี้ 55555555+

2 ความคิดเห็น:

ekkawit กล่าวว่า...

อ่าน blog อ ดิว ทีไร รู้สึกได้ถึงถ่ายทอดความรู้สึก ผ่านตัวอักษรได้ดีทีเดียวครับ ^^ ชีวิตอย่างนี้ มันก็ได้รสชาติไปอีกแบบครับ ประสบการณ์ แบบนี้เงินซื้อไม่ได้ครับ

marutpun กล่าวว่า...

เป็นบล็อกที่ ดูเหมือนปรกติ แต่ด้วยการถ่ายทอดออกมา ทำให้เนื้อเรื่องชวนน่าติดตาม