หน้าเว็บ

01 พฤศจิกายน 2555

166 | My Anniversary (29 Years Later)

เป็น Entry ที่ดองมาครบ 1 ปีถ้วน 5555555+

วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบปีที่ 29 ของผมครับ แล้วก็เป็นครบรอบ 1 ปีหลังจากที่ผมเขียน Blog ครั้งสุดท้ายใน Entry ที่ 165 หลังจากนั้นก็ไม่ได้เข้ามาแตะ Blog นี้อีกเลย เพราะอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน เอาเป็นว่า 365 วันที่ผ่านมานี้มีเหตุการณ์หลายๆ อย่างเกิดขึ้นในชีวิต ก็เลยขอเอามาเล่าแบบสรุปๆ ในตอนนี้เลยละกันนะครับ ตกหล่นเหตุการณ์ใดไปบ้างก็ขออภัยเพราะมันนานมาแว้ว :)

น้ำท่วมนครสวรรค์ กลายเป็นมหาอุทกภัยแห่งชาติ

หลังจากวันที่ 7 ตุลาคม 2554 ที่ผมและชาวนครสวรรค์อีกมากมายได้เห็นรุ้งกินน้ำสองชั้นกับตาอย่างที่ผมโพสต์ไว้ในตอนที่ 164 คืนนั้นผมก็ล้มป่วยด้วยอาการลำคอติดเชื้อ หมอบอกว่าน่าจะติดเชื้อจากฝุ่นที่ลงคอไประหว่างที่ผมตระเวนดูน้ำรอบเมืองทุกวันทุกคืน 3 วันหลังจากนั้นผมก็นอนซมด้วยพิษไข้ไปไหนไม่ได้ สุดแสนจะทรมานจริงๆ ครับ เหตุการณ์น้ำท่วมก็ไม่ได้ติดตามอีกเลย จนกระทั่งหวยมาออกกับชาวปากน้ำโพในตอน 10 โมงของวันที่ 10 ตุลาคม 2554 เมื่อกองถุงทรายที่กั้นน้ำไว้แถวตลาดริมน้ำเกิดพังขึ้นมา น้ำก็ไหลทะลักท่วมตัวตลาดภายในเวลาอันสั้นแสนสั้น ผมตื่นขึ้นมาได้ยินเสียงรถวิ่งและคนโวยวายดังลั่นก็เลยลากสังขารลงมาดู แล้วก็ได้ถ่ายภาพแรกของเหตุการณ์ไว้ดังภาพนี้ครับ


ช่างน่าตื่นเต้นเสียนี่กระไร

หลังจากนั้นผมก็อาบน้ำแล้วก็รีบลงมาเก็บของ ย้ายมอเตอร์ไซค์ไปไว้ที่บ้านน้าที่อยู่เชิงเขาน้ำท่วมไม่ถึง เดินกลับมาบ้านอีกทีน้ำก็สูงลิ่วแล้วครับ คืนนั้นไฟดับเราก็อยู่กันแบบมืดๆ ได้แค่สองคืนก็ไม่ไหว เพราะข่าวสารภายนอกไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาเลย น้ำจอลดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แล้วมันจะขึ้นสูงแค่ไหนก็ไม่รู้อีก สุดท้ายวันที่ 12 เราสามคนพ่อแม่ลูกก็ย้ายออกจากบ้านมาอาศัยที่บ้านน้า 1 คืน แล้วก็ย้ายไปอยู่โรงแรมเบเวอรี่ฮิลล์อีกหลายคืน

(วันที่ผมออกมาจากบ้าน ผมทวีตเหตุการณ์ตั้งแต่น้ำเข้าตลาดไปจนถึงวันที่ผมย้ายออก และได้รับการ Retweet จากคุณสุทธิชัย หยุ่นแห่งเนชั่น และน้องเอม นภพัฒน์จักษ์ อัตตนนท์ นักข่าวหนุ่มชาวปากน้ำโพแห่งเนชั่นเช่นกัน และบางทวีตของผมถูก Retweet ต่อไปอีกเกือบร้อยคน ซึ่งเป็นอะไรที่ผมปลื้มมากกกกก :D)

ขณะที่อยู่กันก็ลำบากลำเค็ญเหลือเกิน น้ำดื่มหายาก น้ำมันหายาก (ปั๊มโดนท่วมมั่ง รถส่งน้ำมันเข้าไม่ถึงมั่ง) น้ำประปาก็ไม่ไหล เวลาอยู่โรงแรมเขาจะเปิดน้ำเป็นช่วงๆ ตอนเช้ากับตอนเย็นๆ นอกนั้นจะขับถ่ายอะไรก็ถมๆ รอไว้กดน้ำทีเดียว โคตรลำบากครับ !!

อยู่ๆ ไปก็ห่วงบ้าน สุดท้ายก็เลยกลับไปอยู่บ้านวันที่ 18 ซึ่งไฟฟ้าก็ยังไม่ติดครับแต่ยังดีที่มีน้ำประปาแล้ว บ้านเราทานข้าวตั้งแต่ 4 โมงเย็นแล้วก็นั่งฟังวิทยุใส่ถ่านไปจนค่ำ พอมืดแล้วพ่อกับแม่ก็เข้านอน ผมยังไม่ง่วงก็จุดเทียนหาหนังสือนู่นนี่มาอ่านเล่นจนดึก (เฝ้าขโมยด้วยในตัว) หลังจากนั้นน้ำก็ค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ จนแห้งในวันที่ 27 ตุลาคม 2554 เอาเป็นว่าหลังจากนั้นก็ใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์กว่าเราจะกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติเข้าที่เข้าทางได้

ที่ทำงานผมก็โดนน้ำท่วมเหมือนกัน เรากลับไปเก็บซากห้องทำงานเราพร้อมกับย้ายไปนั่งที่ชั้นสองเป็นการชั่วคราวอยู่นับเดือนกว่าจะได้ย้ายกลับมานั่งที่เดิม น้ำท่วมครั้งนี้เสียหายไม่ใช่น้อยจริงๆ เพราะว่าไม่ใช่แค่นครสวรรค์ที่เดียว มันลามไปหลายจังหวัดจนถึงกรุงเทพฯ เหตุการณ์นี้ก็เลยกลายเป็นหนึ่งในหลายๆ เหตุการณ์ประทับใจขั้นเทพในชีวิตของคนมากมายที่ผ่านจุดนั้นมา รวมถึงผมด้วยครับ

หลังจากนั้นเพื่อนเหลิมที่เป็นนักข่าวอยู่ก็ได้แนะนำนิตยสารสารคดีให้มาสัมภาษณ์ข้อมูลเหตุการณ์น้ำท่วมในครั้งนั้นกับครอบครัวผม ซึ่งก็ได้ให้ข้อมูลไปเต็มที่+ให้รูปภาพที่ผมเอา iPhone ถ่ายไว้หลายๆ จุดในช่วงนั้นให้เขาไปหมดเลย พอนิตยสารวางแผงเขาก็ส่งมาให้ที่บ้านสองเล่มครับ



เนี่ยเล่มเนี้ย

รายละเอียดแบบลึกๆ หน่อยลองไปหาอ่านกันดูนะครับ เพราะที่เล่าไว้ใน Entry นี้ก็จำได้แค่ลางๆ เหมือนกัน

พอผ่านเหตุการณ์น้ำท่วมมาได้ ก็ทำให้รู้สึกอย่างนึงครับ ว่าจริงๆ แล้วความลำบากที่ผ่านๆ มาในชีวิตมากมาย ครั้งนี้อาจจะถือว่าเข้มข้นที่สุดแล้ว ผมคุยกับพ่อแม่ว่า ปีหน้าถ้ามันจะท่วมอีกก็เอา เราผ่านตรงนี้มาแล้วพอจะรู้วิธีรับมือแล้วละ จะท่วมก็ท่วมไป (ซึ่งก็ได้เห็นกันแล้วนะครับว่าปีนี้ไม่ท่วมแต่แล้งแทน 5555)

ภาพถ่ายเพิ่มเติมที่รวบรวมไว้ใน Facebook ครับ



เลี้ยงปลา

ตอนน้ำกำลังลด ผมลงมาทำความสะอาดบ้านกับแม่ ระหว่างนั้นก็หาเรื่องช้อนปลาเล่นไปเรื่อย จนไปได้ปลาหางนกยูงตัวเมียมาตัวหนึ่งที่กำลังแหวกว่ายในน้ำเน่าๆ หลังบ้านผมอย่างอ่อนระโหยโรงแรง ผมช้อนมาได้ก็เอามาใส่อ่างดินเผา (ที่เคยเลี้ยงปลาเมื่อก่อนแต่เลิกเลี้ยงไปแล้ว) เอาไว้ดูเล่นยังงั้นแหละครับ อาหารปลาก็ไม่มีให้ ได้แต่ใส่เม็ดข้าวสวยให้มันตอดๆ กินแก้หิวบ้าง จนน้ำแห้งสถานการณ์ปกติแล้วนั้นแหละถึงจะมีอาหารปลาเม็ดให้กิน

ทีนี้มันท้องแก่ครับ ซึ่งผมก็ไม่รู้ด้วย มันมาอยู่กับเราได้ไม่นานก็ออกลูกเป็นตัวเมีย 3 ตัวผู้ 1 ตอนนี้หนึ่งชีวิตที่รอดตายจากน้ำ (เน่า) ท่วมมาได้ กลายเป็นห้าชีวิตแล้วนะครับ แน่นอนครับ ใครที่เคยเลี้ยงปลาหางนกยูงจะรู้ดีว่าปลาพันธุ์นี้ออกลูกเป็นตัว แถมลูกดกยังกะแมววัด ไปๆ มาๆ ล่าสุดตอนนี้ที่ถามแม่ผม นับจำนวนปลาทั้งหมดได้กว่า 360 ตัวแล้วครับ !!!


อันนี้ถ่ายไว้เมื่อเดือน ก.ค.55 นับได้ 280 ตัว



เดอะเมา

ช่วงหลังๆ พวกเรามักจะไปเรื้อนตามร้านเหล้าหลายครั้ง ที่ไปบ่อยๆ ก็ได้แก่ ร้านซิกตี้วัน (แถวตลาดบ่อนไก่ติดร้านกาแฟเฮียหยู) ร้าน Creative The Container ของพี่ก๊อด (ข้างหนองสมบูรณ์) แล้วก็ล่าสุด ร้านประจำจังหวัด (ซอยเทคนิคข้างหอวรนันท์) ซึ่งเหล่านี้เองเป็นจุดกำเนิดของ "เดอะเมา" ครับ

ครั้งแรกที่แจ้งเกิดจริงๆ คือวันที่มีผม, ไอ้เก๊ก และไอ้ล้อค ไปนั่งก๊งกันที่ซิกตี้วัน ขณะที่กำลังเพลินๆ นั้นจู่ๆ ไฟก็ดับพรึบ ! ทั้งร้านมืดตื๋อ (จำไม่ได้ว่าฝนตกหรือเปล่า) ทีนี้ก็แหง่วดิครับ เพราะวงมันก็เล่นไม่ได้ เปิดเพลงก็เปิดไม่ได้ ชีวิตที่ขาดไฟฟ้านี่ลำเค็ญมากเลยเนอะ

แล้วคืนนั้นไอ้เก๊กมันเอา Ukulele ไปด้วย (มันมักจะพกไปประจำในที่ๆ อาจจะมีหญิง) ด้วยความเมาแล้วลืมตัว ผมก็เอา Ukulele มันมาเล่น ไอ้สองเพื่อนก็บ้าตาม ร้องด้วย เคาะโต๊ะโน่นนี้ไปด้วย ซึ่งก็เสียงดังพอดูครับเพราะมันก็เมาๆ กันหมดทุกคนแล้ว

ปรากฏว่าคืนนั้นลูกค้าในร้านทุกโต๊ะร้องตามเราทุกเพลงครับ !!

ร้องได้ประมาณ 2-3 เพลงไฟก็ติด ก็เป็นอันว่าหมดหน้าที่ของเดอะเมาในคราวนั้น เราก็เก็บ Ukulele นั่งก๊งฟังเพลงกันต่อ แต่จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ความเปรี้ยวได้บังเกิดในจิตใจของเราสามคนแล้วครับ 55555

หลังจากนั้นเดอะเมาก็มักจะไปปรากฏตัวตามที่ต่างๆ อย่างไรยางอาย พอเหล้าเบียร์เข้าปากแล้วก็เล่นกันแหลกลาญโดยไม่สนโลก มีคนฟังมั่งไม่มีมั่งก็ว่ากันไป


ครั้งหนึ่งของเดอะเมา ที่ได้ Featuring กับนักดนตรีอาชีพ (คนเป่าแซก) เหตุเกิด ณ ริมชล

แต่ที่ฮาคือเวลาเราไปกินตามร้าน เราจะพยายามตีซี้กับเจ้าของร้านเพื่อหาโอกาสขึ้นเล่นบนเวที จริงๆ แล้วไม่ได้จะโชว์ฝีมือหรอกครับ (ก็เล่นกันก๊องแก๊งได้แค่นี้จะเอาอะไร) แต่มันเกิดจากความห้าวอยากเล่นมากกว่า ถ้าให้เปรียบเทียบอารมณ์มันก็คล้ายๆ กับพวกที่ขึ้นเวทีไปร้องคาราโอเกะตามงานเลี้ยงนั่นแหละครับ


สถานที่ล่าสุดที่เดอะเมาไปกร่างมาได้สำเร็จ ร้านประจำจังหวัดนั่นเอง

โครงการล่าสุดกำลังวางแผนจะส่ง Demo เข้าแข่ง The Voice Thailand Season 2 ถ้าส่งจริงๆ เมื่อไรอย่าลืมเชียร์กันด้วยนะครับ 5555555+



เรียนต่อ

มีสิ่งหนึ่งในชีวิตที่ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมีโอกาสได้เข้ามาถึงจุดนี้ คือการเรียนในระดับปริญญาเอกครับ

หลังจากที่จบโท ผมไม่คิดว่าตัวเองจะมีโอกาสได้เรียนต่ออีก เพราะว่าหลักสูตรที่เรียนมานั้นเป็นภาค ข.ก็คือเรียนเสาร์-อาทิตย์แหละครับ หลักสูตรนี้จะเน้น Course Work เรียนในห้องมากว่า และไม่มี Thesis แต่ทำเป็น IS (Independent Study) แทน ซึ่งโอกาสที่จะเอาไปต่อเอกนั้นน้อยมากๆ ถ้านับย้อนไปจริงๆ ความรู้ที่เรียนมาตอน ป.ตรี แค่เอาตัวรอดจนจบโทได้นี่ก็ถือว่าเป็นบุญนักหนาแล้วครับ เรื่องที่จะไปถึงดอกเตอร์นั่นเป็นอะไรที่ลมๆ แล้งๆ มาก

แต่ก็ยังไม่ทิ้งโอกาสซะทีเดียว ช่วงหลังจากจบโทผมก็เอา IS ที่ทำมาเขียนต่อเป็น Proceeding และได้ขึ้นนำเสนอในงานนเรศวรวิจัยครั้งที่ 7 ที่มหาวิทยาลัยนเรศวรนี่แหละครับ ก็เก็บๆ เอาไว้เผื่อจะมีโอกาสได้ใช้ประโยชน์ในอนาคต จนกระทั่งที่ มน.เปิดรับสมัครเรียนต่อ ป.เอก หลักสูตรวิทยาการคอมพิวเตอร์ ผมก็ยังไม่ค่อยมั่นใจเท่าไร ได้ อจ.โอมและพวกพี่วะชวนว่า เปิดแล้วยังไงก็ไปลองสอบดูหน่อยเผื่อลุ้น ผมถึงเฮโลตามไปกะพวกพี่ๆ เขา ก็สมัครสอบไป

ทีนี้เงื่อนไขใหม่ของหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาของ มน.คือ ต้องมีผลคะแนนสอบ TOEFL, IELTS หรือ CU-TEP มายื่นด้วย ถ้าไม่มีอนุโลมให้ว่าหากสอบติดแล้วต้องรีบยื่นภายใน 1 เทอมแรกไม่งั้นจะพ้นสภาพนิสิต (โดนรีไทร์นั่นแหละ) ซึ่งผมก็ไม่มีครับ ไม่เคยสอบที่ไหนเลยสักครั้ง ก็เลยตามพวก อจ.โอมไปสอบ CU-TEP ก่อนเพราะค่าสอบถูกสุด (จริงๆ แล้วมี Cambridge Placement Test ของศูนย์ภาษา มน.อีกอันที่รองรับ แต่ว่าจะเปิดให้นิสิตภายในสอบเท่านั้น เราก็เลยหมดโอกาสตรงนี้)

ตามเกณฑ์ของหลักสูตรที่ผมสมัคร เขาเอาคะแนน TOEFL ที่ 500 ครับ (พวก IELTS, CU-TEP, Cambridge Placement Test ก็เทียบได้เหมือนกัน) ซึ่งผมว่ามันเยอะมาก สอบครั้งแรกที่ CU-TEP ผมได้แค่ 440 กว่าๆ เท่านั้นเอง สอบไปได้อีกไม่กี่ครั้งก็ต้องสมัครสอบ มน.แล้ว ผมเลยไม่มีคะแนนไปยื่น แต่ก็ไม่ได้คิดไรมากเพราะไม่คิดว่าตัวเองจะสอบติดอยู่แล้ว

การสอบในครั้งแรกคือสอบข้อเขียนในวิชาต่างๆ คือ Database Systems, Networks, Algorithms, OS, Computer Architectures ซึ่งผมก็อ่านก่อนสอบมาบ้าง (บ้างจริงๆ) เพราะไม่รู้แนวข้อสอบเลย พอประกาศผลสอบข้อเขียนมาผมก็ อ้าวเฮ้ย !! ติดหมดเลย คือเขารับ 5 คน สมัครสอบ 9 คน ผ่านข้อเขียน 9 คนเลย งานเลยมาเข้าอีตอนสอบสัมภาษณ์นี่แหละครับ เพราะเขาให้เอาหัวข้อที่เราจะทำ Thesis ใน ป.เอกมานำเสนอด้วย งานเข้าครั้งใหญ่ครับเพราะส่วนใหญ่เขาจะเอา Thesis ป.โทมาปรับเพิ่มขอบเขตเอา แต่ของผม ป.โทมันเป็น IS ซึ่งก็รู้ๆ กันอยู่ และผมก็คิดว่าหัวข้อนั้นมันต่อยอดไม่ไหวแล้ว พูดง่ายๆ คือผมไม่มีไอเดียที่จะไปทำอะไรกะมันต่ออีกแล้วนั่นเอง

งานนี้ต้องพึ่งพาอาจารย์ที่ปรึกษาแล้วครับ ผมติดต่อไปหา อ.จัก (ดร.จักรกฤษณ์ เสน่ห์ นมะหุต) ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาที่ได้เคยเมตตาดูแลผมมาตอนทำ IS และ Proceeding ผมโทรหาอาจารย์และท่านก็ได้แนะนำหัวข้อมา ผมมีเวลาประมาณ 5 วันปั่นหัวข้อให้เรียบร้อยทั้งๆ ที่ก็ยังไม่เข้าใจหัวข้อนั้นดีพอ แล้วก็หอบเอาไปขึ้นสอบทั้งอย่างนั้นแหละครับ

ก่อนวันประกาศผลสอบรอบสุดท้าย ผมไปกับคณะเพื่ออบรมทำผลงานวิชาการที่ จ.นครนายก อ.ตุ๋งโทรศัพท์มาหาผมบอกว่า ไปหา อ.จักมาและทราบผลสอบแล้ว ผมก็ยังไม่เชื่อแกซะทีเดียว จนวันรุ่งขึ้นตอนเช้าขณะนั่งรถกลับนครสวรรค์ ผมเปิดดูประกาศรายชื่อแล้วก็พบชื่อผม...เป็นหนึ่งในสามของผู้ผ่านการคัดเลือกให้เข้าศึกษาต่อ ในหลักสูตรปรัชญาดุษฏีบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์....

ผมเหวอครับ

โทรบอกที่บ้านก็ไม่มีใครเชื่อ ทุกคนเหวอครับ เป็นไปได้ยังง๊ายยยยย แต่มันก็เป็นไปแล้วครับ โอ้ยยยยยย ผมดีใจจนแทบจะลงไปเต้นระบำกองก็อยหน้าวัดหลวงพ่อปากแดงเลยทีเดียว OH God !!!!

หลังจากนั้นผมก็วิ่งวุ่นหลายเรื่อง ทั้งเรื่องขออนุญาตลาศึกษาต่อตามระเบียบมหาวิทยาลัย พร้อมกับเตรียมตัวหอบผ้าผ่อนย้ายตัวเองจากบ้านมาอยู่ที่พิษณุโลกเป็นเรื่องเป็นราว ตามระเบียบเขาให้ผมลาได้ 3 ปีครับ... 3 ปี เกิดมาไม่เคยไกลบ้านนานขนาดนี้ ไปฝึกงานที่กรุงเทพฯ ยังแค่ 3 เดือน นี่ตั้ง 3 ปี และเป็น 3 ปีที่ผมไม่ได้สอนหนังสืออีกทั้งที่ทำมาตลอด 5 ปี กลายมาเป็นคนว่างงาน กลับไปนั่งเรียนหนังสือเป็นเด็กน้อยอีกครั้ง บอกตรงๆ ว่าปรับตัวไม่ทันจริงๆ ครับ

และตอนนี้ ณ ขณะที่กำลังนั่งเขียน Blog อยู่ ผมอยู่ที่พิษณุโลกครับ อยู่ที่หอใหม่ในโครงการน้ำเพชร 4 หลังซอยโลกีย์ (ซอยที่มีแต่ร้านเหล้าอโคจร) เพิ่งย้ายมาเมื่อไม่กี่วันก่อนจากหอเดิมที่อยู่มาตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน การเรียนผ่านมาได้ 1 เทอมแล้ว (และก็เพิ่งเปิดเทอม 2 ไปเรียนครั้งแรกเมื่อวานนี้)


บรรยากาศในการเรียน (จากซ้ายไปขวา : อ.จัก, พี่โหน่ง, พี่ลี)


ความสำเร็จในขั้นแรกๆ ที่ผมดีใจมากๆ ที่ผ่านมาได้แล้วคือ :

- ผมสอบผ่านเกณฑ์ภาษาอังกฤษแล้วเมื่อวันที่ 5 ตุลาคมที่ผ่านมา จากการสอบ Cambridge Placement Test ของศูนย์ภาษา มน. นับยอดแล้วกว่าจะผ่าน ผมสอบ CU-TEP มา 6 ครั้ง, สอบ Cambridge Placement Test มา 3 ครั้ง (รวม 9 ครั้งกว่าจะผ่าน หมดเงินไปไม่ใช่น้อยเลย) เป็นความดีใจแบบสุดๆ ครั้งแรกตั้งแต่มาเรียนครับ


ผลการสอบ ผ่านจริงๆ นะเอ้อ

- ผลการเรียนในภาคเรียนที่ 1/2555 ที่ผ่านมา เรียน 2 วิชาหนักๆ คือ Advanced Algorithms และ Advanced Computer Architectures ผลออกมาได้ A ทั้งสองวิชา รวม GPA แล้วได้ 4.00 อันนี้โคตรของโคตรของโคตร Amazing ครับ เรียนมาตั้งแต่เด็กจนโตเคยได้สูงสุด 3.30 นั่นก็ดีใจจนแทบจะเชือดแพะชาบูแล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตจริงๆ (และอาจจะเป็นครั้งเดียวด้วย) ที่ทำได้แบบนี้ รู้เลยว่าความรู้สึกในจุดนั้นมัน finale ขนาดไหน กรี๊ดดดดดด !!!


Capture ภาพนี้ไว้แล้วเอามานอนดูไปยิ้มไปได้ตั้งหลายคืน :)


จากนี้ไปยังเหลือเวลาอีก 2 ปีกว่าที่ผมยังต้องฝ่าฟันกันต่อไป กับพี่โหน่งและพี่ลี สองอาจารย์หนุ่มแห่งราชมงคลน่านและราชภัฏเลย เพื่อนร่วมห้อง+ร่วมชะตากรรม หนทางแห่งดอกเตอร์ยังอีกไกลแสนไกล...ไกล๊ ไกล 55555

เขียนมาก็ยาวเฟื้อยขนาดนี้แล้วพอก่อนดีกว่า ต่อจากนี้ไปจะพยายามมาเขียน Blog ให้สม่ำเสมอเหมือนเดิมนะครับ ยังไงก็ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ และขอบคุณที่ยังไม่ลืมผมครับ




สุขสันต์วันเกิด (ให้ตัวเอง) :))






ไม่มีความคิดเห็น: