หน้าเว็บ

13 ตุลาคม 2559

203 | 13.10.2016



วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ.2559 เวลา 15.52 น.
สิ้นสุดรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 แห่งแผ่นดินสยาม

31 พฤษภาคม 2559

202 | My First Royal Thai Order

อีกไม่กี่วันก็จะครบ 10 ปีสำหรับอาชีพอาจารย์มหาวิทยาลัย (บรรจุเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ.2549 อ้างตามข้อมูลของระบบ MIS มหาวิทยาลัยฯ) วันนี้ก็มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น คือ

ผมได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็นครั้งแรกในชีวิตครับ

ประกาศหน้าแรก

เล่มเดียวกัน หน้า 144

ไม่รู้ว่าจะแสดงออกด้วยความปลาบปลื้มปีตินี้ยังไง ก็คงบอกได้แค่ว่า
ผมภูมิใจเหลือเกินครับที่ได้ปฏิบัติราชการถวายงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันได้แก่การทำงานรับใช้ประชาชนในทางวิชาการและการศึกษา ภายใต้นามของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์นี้มาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา และก็จะขอปฏิญาณถวายงานด้วยความรู้ความสามารถทั้งหมดที่มี ไปตลอดจนกว่าชีวิตจะหาไม่

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ.

02 พฤศจิกายน 2558

201 | Rose Gold in 32th Anniversary Day / Find My iPhone !!! [3]

เหมือนจะกลายเป็นความเคยชินไปแล้วที่ไม่ว่าจะขี้เกียจยังไง แต่ทุกวันคล้ายวันเกิดต้องมาเขียนอะไรสักหน่อยตรงนี้

วันนี้หมองหม่นมาก (คาดว่าน่าจะเป็นผลพวงมาจากเหตุการณ์มากมายในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา) จู่ๆ ก็มานึกว่าเออ...อยากได้อะไรในวันเกิดบ้างว่ะ ไม่ได้มาหลายปีแล้ว แต่ๆ ครั้นจะขอของขวัญวันเกิดจากพ่อแม่ก็ใช่ที่ จะขอจากคนอื่นใครที่ไหนเขาจะให้ สรุปก็คงไม่แคล้วต้องซื้อเอง

นั่งคิดไปคิดมาตั้งแต่เช้าจนบ่าย ตัดสินใจได้ว่า "เปลี่ยนโทรศัพท์ดีกว่า"

มือถือที่ใช้อยู่ ณ ปัจจุบันนี้คือ iPhone 5 (ความเดิม) ซึ่งไม่คิดว่าเวลาผ่านมาแค่ประมาณ 2 ปี มันจะเริ่มง่อยเปลี้ยขนาดนี้ (ผิดกับโทรศัพท์อมตะอย่าง iPhone 4 ลิบลับ) คือมันมีอาการยังงี้

แบตบวม
ตอนแรกไม่รู้ แต่สังเกตว่าจอมันแตะยากๆ บางทีก็เหมือนไม่ค่อยเชื่อฟังเราเท่าไร แต่ก็ไม่ได้หาสาเหตุอะไรจนมีวันนึงมานึกว่า เห้ยถ้าจอมันโก่งเพราะแบตบวมละ? ก็เลยลองกดๆ หน้าจอดู แล้วก็เป็นงั้นจริงๆ ด้วยแฮะ คือแบตมันบวมจนดันจอให้โก่งออกมานอกขอบด้านข้างเลย อันนี้ปล่อยไว้ไม่ได้อันตรายมาก เลยไปเปลี่ยนที่ร้านมือถือใน The Walk เสียค่าแบตใหม่ (ที่ไม่รู้ว่ายี่ห้ออะไร) ไป 800 บาท น่าเสียดายว่าถึงแม้แบตก้อนใหม่จะไม่บวมแล้ว แต่จอที่โก่งไปมันไม่ได้กลับมาเหมือนเดิม T_T

ปัญหา WiFi
WiFi ใน iPhone 5 เครื่องนี้มันยังไงไม่รู้ ต่อได้บ้างไม่ได้บ้าง ถ้าเป็น Router ดีๆ หน่อยจะต่อได้ แต่บางทีก็ต่อไม่ได้ (พวก TP-Link จะเป็นบ่อย) ยิ่งเวลาอยู่ที่ทำงานมันต่อได้บ้างไม่ได้บ้าง คือไม่ใช่จะงก 3G/4G แต่บางทีมันก็จำเป็นต้องโหลดอะไรหนักๆ อะนะ

เอาแค่สองอันนี้ก็เพียงพอแล้วเพราะอย่างอื่นไม่มีปัญหาใดๆ ต่อมาคือจะเลือกรุ่นไหน (ยี่ห้ออื่นไม่เคยอยู่ในหัวอยู่แล้ว) ระหว่าง iPhone 6 หรือ iPhone 6s และจะเลือกอันไหนระหว่างรุ่นขนาดธรรมดาหรือ Plus (จริงๆ ประเด็นเรื่องขนาดนี่ใจก็เอนเอียงไปที่ตัวเล็กมากกว่า เพราะเห็นหลายคนใช้ + เคยไปจับ 6 Plus มาแล้วมันดูใหญ่ไปไม่ถนัดมือ)

ข้าพเจ้าตัดสินใจว่าต้องไปดูของจริง อาจจะช่วยให้อะไรๆ ง่ายขึ้น

เพราะถ้าเทียบจากแนวคิดเดิมที่เคยว่าไว้คือ ซื้อรุ่นที่ Out ไปแล้ว 1 รุ่น ดังนั้นตัวเลือกที่ดีก็คือ iPhone 6 แถมยังดูเหมือนเรารักษามาตรฐานการใช้โทรศัพท์ไว้ได้ (iPhone 4 -> iPhone 5 -> iPhone 6) ซึ่งก่อให้เกิดความภูมิใจอยู่ไม่ใช่น้อย 5555

แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน เพราะคราวที่แล้ว Feature เด่นๆ ที่ทำให้ 5s ต่างจาก 5 เลยก็คือ Touch ID ซึ่งตอนนั้นยังดูเฉยๆ อยู่ ส่วนเรื่องกล้องไม่ใช่ปัญหาเพราะระดับ iPhone 5 ขึ้นไปก็พอใจมากแล้ว แต่พอมาดูตอนนี้ ระหว่าง 6s กับ 6 เนี่ยมันต่างกันเยอะมาก ทั้ง 3D Touch, CPU+RAM และความหนาของวัสดุที่งอได้ยากขึ้น การตัดสินใจมันเลยเริ่มเขวๆ ละ อีกอย่างก็กลัวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยตอน iPhone 5 (อะไรที่ Fail มันแก้ใน 5s หมดแล้วซึ่งเราดันไม่รู้)

พอคิดไปคิดมาก็เอาละ ไปดูของจริงดีกว่า 3D Touch มันกดยังไงแบบไหน ความเร็วที่ว่าเร็วส์นี่มันเชิงประจักษ์เลยมั้ย ลุยๆๆๆๆ

ไป iBeat ก่อนเลย มีตัวจริงๆ ให้ลองเล่นอยู่แล้ว

พอเห็นแวบแรก เห้ย !!! Rose Gold ....สวยว่ะ

คือสีมันสวยยยยยยยย ไม่ได้ชมพูแบบฟรุ้งฟริ้งนะ ไม่ได้ออกทองแบบคนแก่ด้วย มันสวยแบบ เออ...สวยจริง สวยจนยอม 55555 อธิบายไม่ถูก

พอได้ลองกด 3D Touch โอ้โห !!!! นี่มัน นวัตกรรมชัดๆ


(ขอบคุณภาพประกอบจาก cnet.com)

คือใครแม่งจะไปคิดว่าวันนึงเราจะมาคลิกขวาในมือถือ (ถึงจะมีคล้ายๆ กันใน Android มานานแล้ว) แถมไอ้การคลิกขวาที่ว่านี้มันยังต้องใช้แรงกดอีกด้วย แถมกดด้วยความแรงได้หลายระดับอีกนะ แม่จ้าววววววววววว นี่มันปลุกพลัง Geek ในตัวขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ มือไม้สั่นเลยสิครับทีนี้ ....อยากได้ว่ะ อยากได้จริงๆ อยากได้จากใจเลย

ปรากฏว่าน้องพนักงาน iBeat ช่วยเบรคเราไว้ได้ทันท่วงที เพราะเราเองก็ทำใจไว้ก่อนนิดๆ แล้วว่า

"ของไม่มีนะคะพี่ ถ้าจะเอาต้องสั่ง รอคิวยาวด้วยคนสั่งเยอะมาก"

แหงละจ้ะ เพิ่งวางขายในไทยไปเมื่อวันสองวันก่อนนี้เอง มีของก็แปลกละ

ก็เลยขอบน้ำใจกันพองาม แล้วก็จากมาอย่างผิดหวังนิดๆ อืมมมม เอาไงต่อดี ไปถิ่นเดิมเราดีกว่า ศูนย์ DTAC ที่เราคบหากันมานาน ไม่ค่อยทำให้เราต้องช้ำใจ เอ้าลองไปดู

ยืนตีเนียนเล่นเครื่อง Demo อยู่พักนึงจนพนักงานว่าง ก็เลยถามแบบไม่ค่อยอยากจะสนใจเท่าไร

"ราคา iPhone 6s เป็นไงครับ"
"อ๋อ ตามนี้เลยค่ะ" (ชี้ที่ป้ายราคาพร้อมบรรยายเงื่อนไขการผ่อนและโปร)
"มีของไหมครับ"
"มีค่ะ เอาสีอะไรดีคะ"
เห้ย...
"สี Rose Gold มีไหมครับ"
"มีค่ะ 16 GB นะ"
"นั่นแหละครับ เอา"
(เดินไปหยิบกล่องมาจาก Store) "นี่ค่ะ"

เออ...บทจะง่ายก็ง่ายปานนั้น

จู่ๆ ก็รูดบัตร จู่ๆ ก็ได้เครื่อง และก็เดินออกมาพร้อมโทรศัพท์รุ่นและสีที่หาของได้ยากที่สุด ณ เวลานี้อย่างง่ายดายราวกับเข้า 7-11 ซื้อน้ำขวด นี่มันอะไรกัน 55555555+

มารู้ทีหลังจากร้านที่ติดฟิล์มกันรอยว่ารุ่น 16 GB คนไม่ค่อยเล่นกันเพราะเต็มเร็ว ส่วนใหญ่จะไปเล่น 64 GB มากกว่า แต่เราไม่ซีเรียสเพราะไม่ได้ลงเพลงลงเกม รูปก็ก็อปออกใส่ Ext HDD ไว้เรื่อยๆ พื้นที่เลยเหลือเยอะพอใช้ได้สบายๆ สรุปคือเราได้ของเพราะคนไม่ค่อยเล่นรุ่นความจุนี้ + คนส่วนใหญ่มุ่งไป iBeat/iStudio ก่อนเพราะคาดว่าจะได้ของชัวร์และราคาต่ำกว่า (จริงๆ ซื้อพร้อมโปรจะถูกกว่าเครื่องเปล่าอยู่หน่อยนึง)

ส่วนเรื่องค่าใช้จ่าย โดนบังคับใช้โปร 499 (โทร 200 นาที เน็ต 2 GB แถมอีก 3 GB 6 เดือน) ต้องใช้ 3 เดือนถึงเปลี่ยนไปโปรอื่นได้ ไม่ซีเรียสเพราะโทรน้อย เน็ต 2 GB ก็พอใช้ชนเดือนอยู่ ส่วนค่าตัวเสียไป 25,950 บาท (แพงตามวิกฤตค่าเงินบาทเหลวเป๋ว) ผ่อน 0% 10 เดือนกับ KBANK จ่ายเดือนละ 2,595 บาท ก็ยังพอรับไหวเพราะเงินเดือนเพิ่งขึ้นมาหน่อยนึงยังพอมีปัญญาผ่อนได้ไม่หนักมาก แลกกับของดีที่ได้มาถือว่าโอเค คุ้มละๆ


กล้อง iPhone ไม่เคยทำให้ผิดหวังจริงๆ พอมาสัมผัสประสบการณ์ 12 ล้านของจริงเล่นเอาขนลุก แถมวัดแสงแบบขั้นเทพอีกตะหาก

หวังว่ารอบนี้เปลี่ยนมาใช้รุ่น s แล้วคงไม่ทำให้เจ็บช้ำน้ำใจเหมือนคราวที่แล้วนะจ๊ะ 5555555
สุดท้ายนี้ขอสุขสันต์วันเกิดให้ตัวเองครับ ยินดีต้อนรับสู่ปีที่ 32 บนโลกนี้ และขอแสดงความเสียใจที่เวลาหายใจของท่านได้น้อยลงไปอีกปีแล้ว

สู้กันต่อไปครับ :)

17 สิงหาคม 2558

200 | เมื่อพ่อของข้าพเจ้ารักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

11 กรกฏาคม 2558
แม่โทรขึ้นมาปลุกตอนบ่ายว่าพ่อแน่นหน้าอก อาการเหมือนจะเป็นลมซึ่งอาจเกิดจากอาการกรดไหลย้อนที่มักจะเป็นอยู่บ่อยๆ แต่ครั้งนี้รุนแรงมากกว่าที่เคยเพราะนอกจากจะแน่นหน้าอกแล้วยังมีอาการปวดร้าวไปถึงกรามจนเหมือนปากสั่นๆ ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล (โรงพยาบาลใกล้บ้านที่เดียวกับที่ลูกชายเคยผ่าตัดขาทั้งสองครั้ง) ให้รีบมา

รีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วเดินกึ่งวิ่งไป รพ.ปรากฏว่าพ่ออยู่ห้อง ICU ให้น้ำเกลือ ติดสายออกซิเจนแถมเครื่องวัดชีพจรโยงเต็มตัวไปหมด พ่อมีสติครบถ้วนพูดคุยได้ปกติแต่อ่อนเพลียพอสมควร หมอเจ้าของไข้ (อายุรกรรม) ปรึกษากับหมอเฉพาะทาง (หมอหัวใจ) แล้วลงความเห็นว่ายังไม่ชัดเจนว่าเป็นอะไรกันแน่ อย่างเบาๆ ก็อาจจะเป็นกรดไหลย้อนรุนแรง อย่างหนักๆ ก็อาจจะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ สรุปคือให้พ่อนอน ICU รอดูอาการก่อน 1 คืน ส่วนญาติต้องเยี่ยมเป็นเวลาและไม่สามารถนอนเฝ้าได้ คืนนั้นเลยต้องให้พ่อนอน รพ.คนเดียว ก่อนกลับบ้านตอนค่ำได้รับแจ้งอย่างคร่าวๆ ว่าผลการตรวจเลือดยังไม่พบอะไรผิดปกติ


12 กรกฏาคม 2558
รีบไปดูพ่อแต่เช้า พ่อดูปกติดีและยังอ่อนเพลียอยู่บ้างเพราะนอนไม่ค่อยหลับ พยาบาลแจ้งว่าตอนเที่ยงคืนพ่อมีอาการแน่นหน้าอกและปวดกรามอีกครั้ง (เหมือนตอนที่พามา รพ.แต่อาการรุนแรงกว่า) ให้ยาละลายลิ่มเลือดชนิดฉีดเข้าหน้าท้อง (จำไม่ได้ว่ายาชื่ออะไร) แล้วอาการดีขึ้น วันนี้หมอหัวใจไม่อยู่แต่ได้เข้ามาดูอาการตอนเช้าแล้ว ก็ยังสรุปไม่ได้ว่าเป็นอะไรกันแน่ แต่อาการดีขึ้นเลยอนุญาตให้ย้ายจาก ICU ไปอยู่ห้องผู้ป่วยได้ ตอนบ่ายเลยย้ายไปห้องพิเศษอีกตึกหนึ่ง


13-14 กรกฏาคม 2558
พ่อนอนพักที่ห้องพิเศษ 2 คืน ระหว่างนี้หมอให้ยาควบคู่กันไประหว่างยาละลายลิ่มเลือด (ข้อสันนิษฐานว่าเป็นโรคหัวใจ) และยารักษาโรคกระเพาะและลดกรด (ข้อสันนิษฐานว่าเป็นโรคกรดไหลย้อน) ช่วงที่นอนห้องพิเศษนี้พ่อไม่มีอาการผิดปกติใดๆ หมอเลยให้กลับบ้านได้ และให้ใบนัดให้มาทดสอบโรคหัวใจโดยการวิ่งบนลู่วิ่งอีกที

ค่าใช้จ่ายในการรักษาทั้งหมดไม่รวมค่าห้องพิเศษคือฟรี เพราะพ่อมีสิทธิ์การรักษาแบบผู้สูงอายุ (ถ้าคนปกติที่ยังไม่สูงอายุก็ใช้สิทธิ์บัตรทองแทน ค่าใช้จ่ายต่างกัน 30 บาท)



21 กรกฏาคม 2558
พ่อมาวิ่งตามที่หมอนัด ปรากฏว่าไม่สามารถวิ่งได้ครบตามคอร์สที่กำหนดเพราะมีอาการเหนื่อย (ลู่วิ่งจะเร็วขึ้นเรื่อยๆ และหมอจะคอยถามตลอดว่าเหนื่อยไหม พอเหนื่อยก็ต้องหยุดทันที) ผลการทดสอบเลยไม่สามารถบอกอะไรได้


หมอหัวใจเสนอว่าเพื่อความชัวร์ควรทำการฉีดสี

การฉีดสีพูดง่ายๆ คือ ฉีดสีเข้าไปในเส้นเลือดโดยผ่านทางเส้นเลือดใหญ่บริเวณแขนหรือข้อพับขา เพื่อดูความผิดปกติของเส้นเลือดบริเวณหัวใจนั่นเอง การฉีดสีค่อนข้างปลอดภัยแต่มีความเสี่ยงอยู่บ้างประมาณ 1 คนใน 100 คนที่จะมีผลข้างเคียงคือแพ้สี, แพ้วิธีการฉีดสีซึ่งอาจทำให้แขนหรือขาเน่า และถ้าพลาดอย่างรุนแรงสุดคือไปโดนผนังหลอดเลือดเสียหาย หรือไปโดนลิ่มเลือดหรือไขมันที่เกาะอยู่แล้วมันไปอุดตันในอวัยวะอื่นๆ อาจทำให้พิการหรือเป็นอัมพฤกษ์, อัมพาตได้ หนักสุดก็อาจตายได้แต่เกิดขึ้นน้อยมากๆ

สรุปคือตกลงกันว่าจะฉีดสี หมอเขียนใบส่งตัวให้ไปทำการฉีดสีที่โรงพยาบาลเอกชนอีกแห่งในจังหวัด เนื่องจากที่นี่ไม่มีอุปกรณ์เฉพาะทาง ในขณะที่ รพ.นั้นเป็นศูนย์หัวใจที่พร้อมทั้งเครื่องมือและบุคลากร ค่าใช้จ่ายในการตรวจรักษาทาง รพ.นั้นจะทำการเบิกจาก รพ.ต้นทางอีกทีนึง หมายความว่าพ่อใช้สิทธิ์ผู้สูงอายุในการรักษาได้

15 กันยายน 2558
งดน้ำและอาหารตั้งแต่ 7 โมงเช้า แล้วจึงมาที่โรงพยาบาลเอกชนที่ว่านี้ตอน 9 โมง พยาบาลทำการตรวจวัดความดันและเช็คข้อมูลสุขภาพเบื้องต้น รอหมอเฉพาะทางที่มาจากกรุงเทพฯ ตรวจและลงความเห็นว่าจะฉีดสี หมออธิบายวิธีการตรวจและรักษาแบบคร่าวๆ ประมาณนี้คือ

การฉีดสี (หรือชื่อเต็มๆ คือ การฉีดสีสวนหัวใจ) คือการเจาะเส้นเลือดอาจจะเป็นทางแขนหรือทางขาหนีบแล้วแต่ความเหมาะสม (แน่นอนว่าฉีดยาชาก่อน) แล้วจึงสอดสายพลาสติกเส้นเล็กๆ เข้าไปทางเส้นเลือด สายที่ว่านี้จะสอดยาวไปจนถึงหัวใจแล้วจึงฉีดสีเข้าไปตามเส้นเลือดอีกที สีที่ฉีดเข้าไปจะทำให้มองเห็นภาพภายในหลอดเลือดเลยว่ามีส่วนไหนที่ผิดปกติหรือไม่ ถ้าเจอส่วนที่ตีบตันก็จะทำการรักษาทันทีด้วยการทำบอลลูนหัวใจ

การทำบอลลูนหัวใจ (การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน) จะมีบอลลูนเล็กๆ ที่แฟบอยู่ติดอยู่ตรงปลายสายพลาสติกที่สอดเข้าไป และมักจะใส่ลวดที่มีลักษณะเหมือนโครงกระบอกกลมๆ ไว้ที่บอลลูนด้วย (เรียกว่า Stent) พอสอดไปถึงตรงที่เส้นเลือดตีบก็จะทำบอลลูนให้พองจนดันคราบไขมันที่ทำให้ตีบออกไปจนติดผนังหลอดเลือด แล้วก็ใช้ลวดที่ใส่ไปด้วยคาไว้เพื่อไม่ให้มันกลับมาตีบที่จุดเดิมอีก

กระบวนการทั้งหมดนี้หมอบอกว่าใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง ในระหว่างการรักษาผู้ป่วยก็จะยังตื่นอยู่ มีสติครบถ้วนและไม่เจ็บปวดอะไร และถ้าพ่อไม่เคยแพ้ยาหรือแพ้อะไรมาก่อนก็สามารถทำได้เลย จากนั้นพ่อก็ไปเปลี่ยนชุด ให้น้ำเกลือ แล้วก็ไปนอนรอที่ห้อง ICU (จริงๆ คือต้องอยู่ในห้องพักผู้ป่วยที่มีพยาบาลดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา)

พอ 13.30 น. ก็ได้เวลารับตัวไปทำการฉีดสี ญาติที่มาด้วยต้องรออยู่ข้างนอกจนกว่าหมอจะเรียกเข้าไปดูอาการและพูดคุยถึงแนวทางรักษา พ่อเข้าไปได้สักเกือบ 1 ชั่วโมงพยาบาลก็มาตามไปดู


ที่ห้องผ่าตัดจะมีห้องมอนิเตอร์อยู่ด้านนอก หมอชี้ให้ดูในจอที่ถ่ายภาพออกมา แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเส้นเลือดใหญ่บริเวณด้านซ้ายของหัวใจมีจุดที่ตีบมากๆ อยู่ 1 จุด ดูภาพข้างล่าง


ตอนที่เห็นภาพนี้คือเป็นวิดีโอ จะเห็นชัดเจนเลยว่าเลือด (หรือในภาพนี้ก็คือสี) ที่ไหลมาจากเส้นเลือดใหญ่ๆ ด้านซ้ายมือ พอมาถึงจุดที่ตีบจู่ๆ มันก็เล็กลงเหมือนไหลผ่านคอขวดหรือมีอะไรบางอย่างไปขวางทางไหลของมันอยู่ เปรียบเทียบง่ายๆ คือเหมือนสายยางที่โดนพับหรืองอทำให้น้ำไหลผ่านไม่เต็มที่นั่นแหละ

นอกจากนี้ยังมีร่องรอยของการตีบอีก 2 จุดที่เห็น แต่หมอบอกว่าหนึ่งจุดเป็นช่วงทางแยกของเส้นเลือดซึ่งไม่น่าทำเพราะอาจทำให้ระบบไหลเวียนเลือดผิดปกติ ส่วนอีกหนึ่งจุดอยู่ที่เส้นเลือดเส้นย่อยๆ ที่แตกแขนงออกไปจากเส้นใหญ่ซึ่งไม่มีผลอะไรมากนัก สองจุดนี้หมอบอกว่าไม่เป็นไร ยังไม่ต้องทำก็ได้ แต่จุดแรกที่เส้นเลือดใหญ่นั่นหมอเสนอให้ทำการรักษาด้วยการทำบอลลูนทันที รับทราบแล้วก็ออกมารอข้างนอกเหมือนเดิม รอจนรักษาเสร็จจะเรียกเข้าไปดูอีกที

รอไปอีกเกือบ 1 ชั่วโมงก็เสร็จเรียบร้อย หมอชี้ให้ดูจุดที่ใส่ลวด (Stent) เข้าไป ดูภาพข้างล่างจะเห็นคล้ายๆ สปริงอันเล็กๆ บางๆ อยู่ตรงเส้นเลือด


และอีกภาพคือหลังจากทำบอลลูนแล้ว จะเห็นว่าส่วนที่ตีบหายไปแล้ว และเลือด (หรือในภาพนี้ก็คือสี) ไหลผ่านบริเวณนั้นไปได้อย่างเป็นปกติดี


จากนั้นพ่อก็ถูกเข็นออกมาจากห้องผ่าตัดโดยมีแผลจุดเดียวคือที่ข้อมือขวาตรงเส้นเลือดใหญ่ เป็นแผลเล็กๆ เหมือนโดนเข็มฉีดยาที่ใช้ตอนบริจาคเลือดแค่นั้นเอง เสร็จสิ้นการรักษาเวลา 15.00 น. แล้วกลับไปนอนห้อง ICU เหมือนเดิม

หลังการรักษา ต้องรัดข้อมือตรงจุดที่เจาะเข้าไปด้วยสายรัดข้อมือเป็นเวลาหลายชั่วโมง สายที่ว่านี้ใช้ลมเป่าเข้าไปให้มันขยายตัวเพื่อรัดไว้ไม่ให้เลือดออก พยาบาลจะคอยมาปล่อยลมออกทีนิดๆ ทุกชั่วโมงเพื่อให้สายรัดคลายตัวลง สุดท้ายจึงเอาสายรัดออกตอนประมาณ 4 ทุ่มกว่าๆ ในระหว่างนี้ตั้งแต่ออกจากห้องผ่าตัดมาจนถึงตอนเช้าวันรุ่งขึ้นห้ามยกแขน (อาจยกได้แต่ไม่ควรเยอะมาก) หรือออกแรงเท้าแขนเด็ดขาด เพราะจุดที่เจาะเข้าไปเป็นเส้นเลือดใหญ่ แผลอาจเปิดและหากแผลเปิดเลือดก็จะพุ่งออกมาอย่างง่ายดาย

หลังจากออกมาจากห้องผ่าตัดแล้วก็สามารถดื่มน้ำและทานอาหารได้ตามปกติ อาหารผู้ป่วยของโรงพยาบาลเอกชนนับว่าอร่อยและดูหรูหรามากเมื่อเทียบกับโรงพยาบาลรัฐที่เคยไปนอน


16 สิงหาคม 2558
ตอนเช้ามืดพยาบาลมาเอาเครื่องวัดชีพจร, เครื่องวัดความดัน และเอาผ้าก๊อซแปะแผลออก แต่ไม่ได้ลุกมาดูเพราะง่วงมาก (นอนเฝ้าแบบหลับๆ ตื่นๆ มาตลอดทั้งคืน) แม่มาเฝ้าต่อตอนเช้า หมอมาตรวจอีกครั้งตอน 10 โมง อนุญาตให้กลับบ้านได้และนัดมาตรวจอีกครั้งเดือนหน้า ในระหว่างนี้หากมีอาการแน่นหน้าอกอีกซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากหลอดเลือดส่วนที่ตีบน้อยที่ไม่ได้ทำบอลลูน ก็ให้มาทำบอลลูนส่วนนั้นเพิ่มเติม ส่วนแผลที่เจาะนั้นให้แปะพลาสเตอร์ไว้ 2 อาทิตย์ และในระหว่างนั้นห้ามยกของหนักหรือใช้แรงที่มือขวาโดยเด็ดขาด สังเกตดูแผลยังไม่ปิดสนิทดีก็เลยมีเลือดซึมๆ ออกมาบ้างไม่ต่างอะไรกับเวลาหลังบริจาคเลือด

พ่อดูอาการปกติดีเหมือนคนไม่ได้เป็นอะไร ไม่มีอาการอ่อนเพลียใดๆ ให้เห็นเลย (มีป้าอีกคนที่มารักษาวันเดียวกันแต่เข้าห้องผ่าตัดทีหลัง ตอนเช้าแม่บอกว่าเห็นแกลงไปเดินช้อปปิ้งที่ชั้นล่างซะแล้ว) นั่งรอการเงินเคลียร์ค่าใช้จ่ายและรับยาเสร็จตอนบ่ายก็กลับบ้านโดยสวัสดิภาพ รวมค่าใช้จ่ายที่ต้องออกเอง 280 บาทถ้วน

พ่อกลับมาถึงบ้านก็นอนเล่น iPad สบายใจเฉิบ :)

18 กรกฎาคม 2558

199 | ประสบการณ์ใน Kindle Store

เมื่อเดือนที่แล้วได้ Kindle Paperwhite ราคาถูกมาจากพี่สาวพี่ต้นที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นและฝากซื้อมาให้ ซึ่งมันก็ถูกกว่าซื้อจากร้านในไทยไปเกินครึ่งจริงๆ แต่ก็พลาดครั้งใหญ่ตรงที่ไปเลือกรุ่น 3G เพราะตอนนั้นกำลังลดราคาถูกลงไปอีก 3,000 เยน แต่มารู้ทีหลังว่าเครื่องญี่ปุ่นใช้ 3G นอกประเทศไม่ได้ 55555+

หลังจากนั้นก็ตั้งอกตั้งใจว่าจะซื้อ eBook มาอ่านแบบจริงๆ จังๆ เสียทีหลังจากที่เครื่องที่แล้ว (Kindle Touch 4) ใช้มานานก็ไม่เคยได้อ่านอะไรนอกจากการ์ตูนกับสี่แผ่นดิน (ซึ่งก็ยังอ่านไม่จบ) ก็เลยกรอก Payment Method เรียบร้อย กดซื้อหนังสือที่ลดราคารายวัน (Daily Deal) มาอ่านได้สองเล่มครับ

เล่มแรก The Ghost Bride (Yangsze Choo) เป็นนิยายแนวผีๆ ได้มาในราคา $0.99 ถูกโคตร !!!



เล่มที่สอง Don't Know Much About Mythology (Kenneth C. Davis) แนวสารคดี อันนี้แพงขึ้นมานิดนึงอยู่ที่ $1.99 แต่ก็ถือว่าโคตรถูกอยู่ดีสำหรับหนังสือแนวนี้


แล้วพอเล่นกับระบบซื้อขายของ amazon ไปสักพัก ก็เกิดไปแก้ไขที่อยู่ในนั้นให้เป็นที่อยู่ปัจจุบัน (แน่นอนว่าประเทศไทย) โดยที่ไม่ได้คิดอะไร แต่ทว่า...ผ่านไปสักพักโดยที่ไม่ได้สังเกต ก็รู้สึกว่าทำไม Daily Deal วันหลังๆ ราคามันไม่ค่อยถูกเหมือนวันแรกๆ ที่ลองซื้อวะ?

ปรากฏว่าการที่ไปตั้งที่อยู่ในการชำระเงินเป็นประเทศไทย ทำให้โดนบวกราคา (ซึ่งเดาว่าคงเป็นภาษี) เข้าไปอีก $2.00 สำหรับหนังสือทุกเล่มเลย !!!

(ตอนนี้เปลี่ยนไปอยู่อเมริกาเรียบร้อยแล้วครับ คือ $2.00 มันก็ไม่แพงมากเท่าไรหรอก แต่แบบว่าเสียดายอะ อยากได้ราคาที่มันลดแบบจริงๆ มากกว่าอะเนอะ)

จริงๆ ความสนุกที่ได้เล่นกับ Kindle Store ในช่วงนี้ยังมีอีก อันนึงที่ชอบมากคือ Kindle Direct Publishing (KDP) แต่ตอนนี้เพิ่งจะได้ทดลอง คือเอาหนังสือแนว Public Domain มาทำขาย ส่งไป 3 เล่ม ผ่านเล่มเดียวอีกสองอันไม่รู้ว่าติดอะไรเลยปล่อยไว้ก่อน ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงเก็บข้อมูลที่จะเอามาเขียนหนังสือของตัวเองจริงๆ ขายมั่ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะได้เรื่องหรือเปล่า รึอาจจะเบื่อเลิกทำไปซะก่อน :P


หนังสือที่ผ่านเล่มเดียวและกำลังขายอยู่ใน Kindle Store คือข้างบน เอาเรื่อง Twelve Years a Slave ซึ่งชอบมากเป็นการส่วนตัว มาทำปกใหม่, ทำ TOC ใหม่ แล้วก็จัดหน้าใหม่นิดหน่อย ตั้งราคาไว้ที่ $0.99 ซึ่งต่ำสุดเท่าที่ KDP กำหนด (จริงๆ อยากปล่อยฟรีด้วยซ้ำ) ตอนนี้ยังนิ่งสนิทไม่มีอะไรเคลื่อนไหวซึ่งก็ไม่แปลกใจเพราะหนังสือเล่มนี้มีเยอะมากใน Kindle Store 5555555+

25 มีนาคม 2558

198 | ICISA 2015

เมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปนำเสนอผลงานระดับนานาชาติเป็นครั้งแรกในชีวิตที่พัทยาครับ งานนั้นคือ

ICISA 2015 (The 6th International Conference on Information Science and Applications)

ผู้รับผิดชอบงานก็คือ iCatse ร่วมกับ Springer (ปีก่อนๆ เป็น IEEE) ดูเหมือนจะผลัดกันจัดงานเวียนกันระหว่างประเทศไทยและประเทศเกาหลีใต้ ปีนี้ดีหน่อยวนมาถึงไทยเลยไม่ต้องไปไกล
งานจัดระหว่างวันที่ 24-26 กุมภาพันธ์ 2558 ณ โรงแรมฮอลิเดย์อินน์ พัทยาครับ

เว็บไซต์หลักของงาน: http://icisa2015.org/

การไปงานนี้ก็เป็นการเริ่มต้นอะไรครั้งแรกหลายๆ อย่างครับ อย่างเช่น
- ได้ทำ Paper เป็นภาษาอังกฤษครั้งแรก
- ได้นำเสนองานเป็นภาษาอังกฤษล้วนๆ ครั้งแรก
- ได้เจอค่าลงทะเบียนแพงมหาโหดครั้งแรก ($620)
- ได้ไปนำเสนองานแบบตัวคนเดียวครั้งแรก (คือไม่มีเพื่อนและอาจารย์ไปด้วยเลย)
- ได้ขับรถทางไกลครั้งแรก (นครสวรรค์-พัทยา) แถมไม่มีใบขับขี่ 55555
- ได้เที่ยวกับครอบครัวครั้งแรกหลังจากขาที่หักหายดีแล้ว

แต่พอทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดีแล้วก็ถือว่าเป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่ดีสุดยอดมากๆ ครับ ทีนี้จะเล่าถึงรายละเอียดต่างๆ ที่เจอมาครับ

สถานที่
อย่างแรกคือ งาน Conf นี้จัดที่โรงแรมหรูมากๆ (โรงแรมฮอลิเดย์อินน์ อยู่ตรงพัทยาเหนือ) วันแรกที่ไปถึงก็วนรถไปดูโรงแรมก่อนเลย ซึ่งก็ตกใจพอตัวแล้วว่าทำไมดูยิ่งใหญ่จัง จนวันแรกที่ไปลงทะเบียนนั่นแหละครับ ทั้งห้องเปิดงาน ห้องนำเสนองานแต่ละห้อง แม้แต่ห้องโถงที่ไว้ทานเบรคและมื้อเที่ยงยังโคตรหรูหราเลยครับ อยากจะถ่ายรูปมาเหมือนกันแต่ตื่นเต้นลนลานมากไปเลยดูรูปจาก Facebook ของงานละกันครับ


อันนี้ห้องใหญ่ที่ไว้เปิดงานและฟัง Invited Speaker


บริเวณโถงที่ไว้ทานเบรคและมื้อเที่ยง


ห้องนำเสนองานแต่ละห้อง ข้างในเหมือนกันหมด


ของติดไม้ติดมือ
เนื่องด้วยว่าค่าลงทะเบียนงานนี้มันแพงเหลือเกิน ($620 ตีเป็นเงินไทย ณ วันจ่ายตังก็ประมาณ 20,000 กว่า) ก็เลยคาดหวังว่าของที่ระลึกในงานมันต้องคุ้มค่าน่าสะสมแน่ๆ เลยเว้ย ซึ่ง Conference Package ทีไ่ด้มามีดังนี้ครับ

- หนังสือรวม Abstract 1 เล่มบางๆ
- ป้ายห้อยคอ 1 อัน
- กระเป๋าผ้าดิบหูรูดเหมือนเป้เด็กวัยรุ่นสมัยก่อน สรีนลายนกลายช้าง 1 ใบ (ผิดหวังมากๆ)
- USB Drive ยี่ห้อ Apacer ที่ใส่ไฟล์เล่มเต็ม 1 อัน
- ไม้ Selfie 1 อัน (ห๊ะ??)
- จบงานได้ใบ Certified อีก 1 ใบ

หมดแล้วครับ มีแค่นี้เอง อุตส่าห์หวังจะได้เสื้อหรือเป้สักใบ -_-

แต่ก็เข้าใจนะว่าสถานที่จัดงานค่าเช่าคงแพง บวกค่านู่นนี่นี่นั่นหลายๆ อย่างก็พอรับได้อยู่ (อาหารเบรคในงานคุณภาพสูงมาก กาแฟสด, ชาสำเร็จรูปคุณภาพดีเติมไม่อั้น เครื่องดื่มพวกน้ำแร่, น้ำอัดลมยี่ห้อต่างๆ หยิบดื่มได้ตามพอใจ) ก็ถือว่าเอาเฮอะ 555555

เสื้อผ้าหน้าผมและพิธีการ
ในงานนี้แบ่งการนำเสนอเป็น 3 ประเภทคือ Poster, Oral และ Workshop (ผมนำเสนอแบบ Oral) ซึ่งคนที่มานำเสนองานนี่ก็น่าจะเป็นพวกนักวิชาการ, อาจารย์มหาวิทยาลัย และนักศึกษาปริญญาโท-เอก หลากหลายชาติครับ ที่เยอะๆ จะเป็นคนจีน (หรือเกาหลีนี่แหละ) รองลงมาก็พวกชาวแขก คนไทย แล้วก็ฝรั่งครับ ซึ่งขอบอกเลยว่าตั้งแต่วันแรกยันวันสุดท้าย ผู้ร่วมงานที่แต่งกายเรียบร้อยที่สุดต้องยกให้ชาวไทยครับ

คือเวลาไปงานพวกนี้ คาแรกเตอร์ของคนไทยจะเด่นชัดมาก ต้องมีเสื้อสูททั้งแบบสูทเต็มรูปแบบและแบบรูดซิป ต้องเป็นเสื้อเชิ๊ต กางเกงสแลค รองเท้าหนัง เรียกได้ว่าเหมือนมาเป็นประธานเปิดงานยังงั้นเลยละครับ แต่กลับกันพวกชาวจีน-เกาหลีจะแต่งตัวเหมือนเดินห้าง ผู้ชายจะใส่เสื้อเชิ๊ตแขนสั้นบ้าง คอปกบ้าง กางเกงยีนเกือบหมด รองเท้าก็ผ้าใบซะส่วนใหญ่ ส่วนผู้หญิงเสื้อจะเป็นแบบพริ้วๆ เลยครับ กางเกงก็กางเกงผ้า รองเท้าแตะหุ้มส้น ไม่เห็นมีใครใส่กระโปรงเลยซักคน ยิ่งชาวแขกนี่ยิ่งโดดเด่น บางคนมาเสื้อยืดคอกลม กางเกงเล (เฮ้ย) รองเท้าแตะหูคีบ (เฮ้ยเฮ้ย) ยังกะเพิ่งตื่นนอนหรือเพิ่งขึ้นมาจากทะเล แต่พวกนี้ส่วนน้อยนะครับเหมือนมันไม่ค่อยสนโลกเท่าไร นอกนั้นก็จะออกแนวลำลองสบายๆ มากกว่า มีแต่คนไทยนี่แหละครับที่จัดเต็มที่สุดแล้ว

ส่วนของผมเคยเห็นแนวมาบ้างเวลามีงาน Inter Conf ที่มหาลัยเลยพอรับมือถูก ก็เลยใส่เสื้อเชิ๊ตทำงานพับแขนปล่อยชาย กางเกงยีนและรองเท้าผ้าใบ มองดูรวมๆ แล้วก็กลมกลืนกับพวกแขกหรือพวกจีนเหมือนกันครับ

ส่วนพิธีการก็ถูกใจสุดๆ ครับ คือมีแค่พิธีกรของงานออกมากล่าวต้อนรับผู้มาร่วมงานทุกท่าน เล่าถึงว่าในงานนี้มีผู้ส่งผลงานทั้งหมดเท่าไร ผ่านการคัดเลือกเท่าไร และคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ (ตัวเลขชัดๆ ในงานผมฟังไม่ทัน รู้แค่ว่าผลงานที่ผ่านคิดเป็น 30% ของที่ส่งมาทั้งหมด) พูดแค่นี้แล้วก็เริ่มเชิญ Invited Speaker ขึ้นพูดเลยครับ โอ้โหมันช่างกระชับได้ใจอะไรเช่นนี้ ไม่ต้องมีกล่าววัตถุประสงค์ของงาน, กล่าวรายงานแก่ท่านประธานในพิธี หรือแม้แต่ท่านประธานในพิธีก็ยังไม่มี โอ้ววว

(ตอนที่พิธีกรดำเนินรายการ ผมสังเกตว่า Editor ของงานนี้ยืนถ่ายรูปอยู่ด้านหลังทั้งๆ ที่ตัวแกนั่นแหละน่าจะเป็นประธานเปิดงาน)

LNEE
ข้อดีอีกอย่างของงานนี้คือ ทุก Paper ที่ Accept จะได้ลงใน Lecture Notes in Electrical Engineering (LNEE) ของ Springer ด้วย ซึ่งมันเป็นอะไรที่หรูหราสุดยอดมากเพราะในสายเราใครๆ ก็รู้ว่า Paper ของ Springer นั้น Impact สูงและราคาแพงมาก (เคยเจอเล่มนึงมาขายตอนงาน Book Fair ราคา 7,000 กว่าบาท) ขนาดที่มหาลัยยังไม่รับ SpringerLink เลยเพราะมันแพงเหลือเชื่อ และการได้ Indexed ใน Springer นี้มันราวกับความฝันเลยทีเดียวละครับท่านเอ๊ย


เล่มที่งานผมได้ลง LNEE 339

นอกจากนี้มันยัง Indexed ใน ISI, Scopus อีกนะ แถมตอนนี้ LNEE ยังอยู่ใน Q3 ซึ่งก็ถือว่าโอเคเลยละ

เท่าที่อ่านจากในเว็บของงาน เดิมทีงาน ICISA ที่จัดมาครั้งก่อนๆ เนี่ยจะอิงกับ IEEE มาตลอด แต่เพิ่งจะมีครั้งล่าสุดคือปีนี้ที่เปลี่ยนมาเป็น Springer ซึ่งก็เสร็จเราเลย :)

คืนแรกที่ไปถึงพัทยา อาจารย์ที่ปรึกษา (ผศ.ดร.จักรกฤษณ์ เสน่ห์ นมะหุต) ก็ได้ส่งเมลมาว่างานเราได้ถูกเอาขึ้นในเว็บของ Springer แล้วนะ เห้ย !! อะไรมันจะไวขนาดนี้ O_O คลิกเข้าไปดูเลยครับ


$29.95 แน่ะ


Invited Speaker
วันแรกที่ไปก็แค่ลงทะเบียนเอาของแล้วก็อยู่ฟัง Invited Speaker ท่านนึงครับ คือ ศ.ดร.กาญจนา กาญจนสุต จาก AIT ซึ่งท่านก็มาในชุดเสื้อผ้าหน้าผมที่ทำให้ต้องตะลึงอีกคน คือท่านเล่นเสื้อผ้าฝ้าย กางเกงผ้าฝ้าย สีขาวหม่นๆ (นึกถึงชุดสไตล์ม่อฮ่อมแต่เป็นสีขาวๆ) มีผ้าพันคอหนึ่งผืน มองยังไงก็เหมือนท่านกำลังจะไปปฏิบัติธรรมมากกว่ามางานวิชาการครับ 5555555

อาจารย์กาญจนาพูดเรื่องเกี่ยวกับระบบอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงสำหรับโรงเรียนห่างไกล ซึ่งก็ได้พัฒนาอุปกรณ์และเทคนิคต่างๆ ขึ้นมาใช้เองโดยเน้นว่าต้องมีราคาถูก (ใช้ Raspberry Pi เป็นบอร์ดหลัก มีบางช่วงที่ต้องขยายสัญญาณก็เอากะทะทำกับข้าวมาต่อเป็นจานคล้ายๆ จานดาวเทียม) และประสิทธิภาพดี (ต้องดู Youtube ได้ลื่นไหลระดับเน็ต 3G, 4G เพราะสื่อการเรียนส่วนใหญ่ให้เด็กดูจาก Youtube)


Invited Speaker ท่านแรก ศ.ดร.กาญจนา กาญจนสุต

ตอนนำเสนอท่านก็ภาษาอังกฤษล้วนครับซึ่งก็ฟังออกเป็นส่วนใหญ่ แต่คงเพราะเราไม่ได้จับงานทางด้านนี้มานานพวกศัพท์เฉพาะหรือเทคนิคใหม่ๆ บางอันก็ไม่คุ้นเคยเลยอาจจะหลุดไปบ้าง แต่โดยรวมก็เป็นงานที่ดีและมีคุณค่ามากครับ (มีผู้ร่วมงานท่านนึงที่มีคำถามเยอะสุดแกมาจากอินเดีย แกว่างานนี้เหมาะกับการนำไปใช้ในประเทศแกมากๆ) ส่วน Invited Speaker ท่านที่สองผมไม่ได้อยู่ฟังเพราะอยากพาพ่อกับแม่ไปเที่ยวมากกว่าก็เลยออกมาก่อน

วันนำเสนอ
วันรุ่งขึ้น (ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของงาน) ก็ถึงคิวที่จะต้องนำเสนอแล้วครับ

ไปเจออาจารย์สองท่านที่มาจากคณะวิทย์ มน.เช่นกัน ก็คืออาจารย์ฝง (หัวหน้าภาคคอมฯ) กับอาจารย์อนามัย (ภาคคณิตฯ) ที่ไปนำเสนองานเช่นกัน ห้องเดียวกันกับผมแต่เป็นตอนบ่าย ผมอยู่ในกลุ่มเช้าและเป็นคนสุดท้ายของกลุ่มแรกก่อนเบรคทานของว่าง ก็เลยกะว่ารีบๆ พูดๆ ให้เสร็จแล้วก็รีบกลับดีกว่า

Chair ในห้องของผมมีคนเดียวเป็นฝรั่งแถมพูดฟังยากอีกตะหาก กำลังคิดๆ อยู่ว่าถ้าโดนถามขึ้นมาจะฟังออกมั้ยวะเนี่ย ก็สังเกตดูว่าคนแรกๆ ที่ขึ้นไปนำเสนอ ไม่โดน Chair ถามเลย แต่จะมีบางคนที่โดนผู้เข้าฟังถามบ้างเล็กน้อย อันนี้ก็พออุ่นใจขึ้นมาบ้าง และพอสังเกตผู้เข้าฟังในห้องก็พบว่าเป็นคนจีนและเกาหลีเป็นส่วนใหญ่ มีแขกกับฝรั่งปนมานิดหน่อย (และชอบถาม) นอกนั้นก็มีคนไทยอยู่จำนวนหนึ่ง

ฟังคนอื่นพูดไปเพลินๆ ก็ถึงคิวตัวเองละครับ เดินฉับๆ ไปหน้าเวที เสียบ USB Drive เอาไฟล์นำเสนอมาลงเครื่องที่เปิดไว้ให้ แล้วก็ร่ายเลยครับ


คนทางซ้ายคือ Chair ส่วนเรามองจอในคอมไม่ถนัดเลยขอออกมายืนข้างนอกเลย


หน้าจอนี้คือกำลังเล่าถึงผลการทดลอง

ตอนกำลังพูดๆ ไปก็แอบมองผู้ฟัง บร๊ะ !!! มองกันตาแป๋วเลย แถมบางคนมีพยักหน้าหงึกๆ อาการแบบนี้สันนิษฐานไว้เลยครับว่า มันต้องมีคำถามในใจแล้วแหงๆ และพอตูเอ่ยคำว่า Any Question? เมื่อไร ไอ้คำถามเหล่านั้นมันต้องพรั่งพรูออกมาท่วมตูจนมิดหัวแน่น๊อนนนนน

นำเสนอไปก็เตรียมใจไปละครับ เจอฝรั่งถามยังไม่เท่าไร กลัวเจอแขกกะจีนถามนี่ฟังไม่ค่อยออก ผมประมาณว่าน่าจะใช้เวลาไปทั้งหมดประมาณไม่ถึง 10 นาทีเพราะรู้ตัวว่าพูดเร็วมาก จนนำเสนอเสร็จ Chair ก็ถามทุกคนในห้อง Any Question?

ปรากฏว่าเงียบจ้า !!! ไม่มีใครถามเลย Chair ก็บอก โอเค แยกย้ายไปดื่มน้ำปัสสาวะได้แล้วจ้ะทุกคน โอ้...มันช่างรวดเร็วฉับไวอะไรปานนี้หนอ

รับใบ Certificate เสร็จ ก็เสร็จสิ้นภารกิจครับ ออกมาโทรเรียกพ่อกับแม่มาทานเบรคอย่างสบายใจ อิ่มหนำสำราญแล้วก็เตรียมกลับนครสวรรค์บ้านเกิด

ก่อนกลับจะชวนถ่ายรูปที่บอร์ด ก็พอดีมี Editor (Mr.Kuinam J. Kim) มาคุยด้วย แกก็ทักทายพ่อกับแม่ แล้วก็ถามว่าทำไมรีบกลับ เราก็บอกว่าบ้านไกลครับท่าน ต้องรีบกลับพรุ่งนี้มีงานต้องทำ แกก็พยักหน้าหงึกๆ ว่าอยู่ทานข้าวเที่ยงก่อนสิแล้วค่อยกลับ (อ้าว ก็บอกว่ารีบเว้ย) สุดท้ายก็ถ่ายรูปหมู่กันก่อนกลับครับ


ครอบครัวข้าพเจ้าถ่ายรูปร่วมกับ Editor Mr.Kuimam J. Kim หน้างาน

เสร็จภารกิจเรียบร้อยครับกับงาน ICISA 2015 เดินทางกลับบ้าน ก่อนกลับถึงนครสวรรค์มีแอบแวะไหว้พระที่อยุธยาอีกหน่อยนึง กว่าจะถึงบ้านจริงๆ ก็ค่ำละครับ เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวพอสมควรก็เลยหลับเป็นตาย (ด้วยความสบายใจ)

ผลงาน
อันนี้เป็นหัวข้อเรื่องกับบทคัดย่องานที่ไปนำเสนอมาครับผม ส่วนใครที่สนใจเอกสารฉบับเต็มสามารถไปโหลดเอาได้ที่ ResearchGate นะครับ

A Semantic Similarity Assessment Tool for Computer Science Subjects Using Extended Wu & Palmer's Algorithm and Ontology

Chayan Nuntawong, Chakkrit Snae Namahoot* and Michael Brückner

Abstract

This paper presents a process model and a system for calculating the correspondence between the content of courses in Computer Science with the standard of The Thailand Qualifications Framework for Higher Education (TQF: HEd). The aim is to improve the curriculum of universities in Thailand by meeting the standards and decreasing the duration of the operation to be more convenient. We designed an ontology of courses and TQF: HEd, and then we developed the system as a web application that can map the information from two ontologies using the extended Wu & Palmer’s algorithm and WordNet. At last, the system summarizes the consistency of the course descriptions with the body of knowledge of TQF: HEd. Tests with sample data show that this method indicates whether the course description is consistent with the standards or not. It also indicates the relative importance of each part of the body of knowledge in teaching of this subject as well.

(*Corresponding Author)

Future Works
สำหรับงานหน้าก็คงต้องเป็น Inter Conf แบบนี้แหละครับเพราะว่าต้องเริ่มเอามาเคลมจบแล้ว ก็หวังว่าจะมีโอกาสได้ไปงานดีๆ แบบนี้อีกครับ :)



***ขอบคุณรูปภาพบรรยากาศในงานทั้งหมดจาก Facebook Page iCatse ครับ***

12 พฤศจิกายน 2557

197 | จัดเกมบน 3DS อีกแล้วอีกแล้ว

ตอนที่ 1 และ ตอนที่ 2 ครับ

Harvest Moon 3D: A New Beginning



เกมปลูกผักระดับตำนาน เคยเล่นภาคนึงใน PSP ก็สนุกดีครับ ภาคนี้ก็ไม่ค่อยต่างกันมาก มีอะไรๆ ให้ทำเยอะแยะหมดในแต่ละวันจนเวลาไม่ค่อยจะพอ
ข้อดี : เกมสนุกตามแนวปลูกผัก
ข้อเสีย : ภาพไม่สวย เฟรมเรตตก

Etrian Odyssey Untold: The Millennium Girl



แผ่นนี้ได้มาจาก Play-Asia ตอนลดราคา เป็นเกมแนว Dungeon RPG ที่เดินไปเดินมาใน Dungeon แต่ละชั้น เนื้อเรื่องค่อนข้างยาวมากและมีจำนวนชั้นเยอะเหลือเกิน แต่โดยรวมก็ถือเป็นเกมที่สนุกมากครับ มักจะหยิบเอามาเล่นบ่อยๆ เวลาเบื่อเกมอื่น
ข้อดี : เกมสนุก เล่นไม่ยาก ความยาวคุ้มราคามาก
ข้อเสีย : กราฟิกออกแนวโบราณไปนิดนึง ฉากต่อสู้คล้ายๆ SMT IV

Samurai Warriors Chronicle



ได้มาจาก Play-Asia ตอนลดราคาเช่นกัน เกม Action แนว Musou ที่คุ้นเคยดี เป็นเกมที่เล่นได้เรื่อยๆ และสนุกตามสไตล์ของเขาแหละครับ เวลาตีทหารราบกระจัดกระจายทีนี่โคตรสะใจ
ข้อดี : ฉากต่อสู้มันเวอร์แบบ Musou ตัวละครก็ออกแบบได้งดงาม
ข้อเสีย : เกมมันออกมานานแล้วระบบอะไรๆ ก็ดูโบราณไปบ้าง

Metal Gear Solid 3D: Snake Eater



หลงคำชมในเน็ตว่าเป็น MGS ภาคที่สนุกมากเลยหลวงตัวซื้อมาตอน Play-Asia ลดราคา (แบบถูกโคตรๆ) แล้วก็พบว่าเป็นเกมที่เสียดายเงินอย่างยิ่ง คือมันไม่ใช่แนวเลยสักนิดอะครับ เล่นมาเกือบ 2 ชั่วโมงยังไม่พ้นฉากแรกแถมอึดอัดกับระบบการเล่นของมันแบบสุดๆ ถืงว่าทำไม Play-Asia ถึงเอามาลดบ่อยมากๆ
ข้อดี : ยังหาไม่เจอ
ข้อเสีย : เกมไม่สนุกเลย (คหสต.) ซื้อมาเล่นแล้วเสียดายตัง

Street Fighter IV 3D Edition



เป็นเกมในตำนานอีกเกมนึงที่เล่นมาตั้งแต่เด็กๆ สำหรับภาคนี้เคยเล่นใน iOS มาแล้วเลยค่อนข้างคุ้นเคยอยู่ แถมเกมก็ทำระบบให้ออก Combo ง่ายขึ้นไปอีก ภาพตอนเปิด 3D ก็สวยงามจนน้ำลายไหล เอาไว้เล่นได้ยาวๆ ไม่เบื่อครับเกมนี้
ข้อดี : ระดับที่คนเล่น Street Fighter รู้กันดี
ข้อเสีย : เวลาเปิด 3D ภาพมันชอบหลุดโฟกัสเพราะเราต้องขยับเครื่องไปมาบ่อย

Paper Mario Sticker Star



อันนี้ได้มาในราคาที่ถูกมากๆ จาก Play-Asia แล้วก็สนุกสมคำร่ำลือจริงๆ ภาพน่ารัก เกมเพลย์แบบ JRPG เข้าใจไม่ยากนัก เก็บไว้เล่นยาวๆ เพราะเสียดายไม่อยากรีบจบเร็ว 555555+
ข้อดี : เกมเพลย์สนุก ภาพสวยมาก
ข้อเสีย : บางฉากก็ผ่านยากไปหน่อย

Super Mario 3D Land



อันนี้สนุกจริงสมราคา Mario เลย ภาพ 3D ตื่นตาตื่นใจมาก ได้มาจาก Play-Asia แบบโคตรเซอไพรส์เพราะปกติไม่ค่อยเอา Mario มาลดเท่าไรนัก ซื้อมาแล้วคุ้มสุดยอดจริงๆ
ข้อดี : เกมสนุกตามมาตรฐาน Mario ภาพ 3D โคตรอลังการ
ข้อเสีย : ยังหาไม่เจอ

New Super Mario Bros.2



ตรงข้ามกับอันข้างบนเลย สำหรับผมแ้วผมว่ามันยากมากๆ เลย การควบคุมตัวละครก็ยาก ฉากหลายๆ ฉากก็ผ่านยาก ตอนนี้เลยเล่นได้ไม่ถึงไหนเลย เสียดายจริงๆ ที่ตัวเองไม่ถนัดแนวนี้ทั้งที่รู้ว่ามันเป็นเกมที่ดีมากๆๆ
ข้อดี : คุณภาพเกมตามมาตรฐาน Mario
ข้อเสีย : สำหรับผมมันยากเกินไป T_T

The Legend of Zelda: A Link Between Worlds



สนุกมาก สนุกจริงๆ เป็นเกมที่เล่นรวดเดียว 4 วันจบแล้วยังรู้สึกเสียดายอยากกลับมาเล่นใหม่ เป็นเกมที่สร้างต่อจากภาค A Link to The Past เมื่อสมัยโน้น (แผนที่เดียวกัน) ส่วนตัวเป็นเกม Zelda เกมที่สองในชีวิตที่ได้เล่น รู้สึกประทับใจกับมันมากจริงๆ
ข้อดี : เยอะแยะไปหมดจนไม่รู้จะยกย่องมันยังไงดี
ข้อเสีย : อยากให้เกมยาวกว่านี้อีกหน่อย 20 ชม.มันน้อยไปง่ะ

Bravely Default



อีกหนึ่งเกมดังที่กำลังจะมีภาคต่อ เกมมาแนว Final Fantasy แบบไม่ต้องพิสูจน์เลย แต่ก็สนุกและสมบูรณ์แบบตามคุณภาพระดับ Square Enix แต่เกมนี้ยังเล่นไม่จบเพราะพอมาถึงช่วงครึ่งหลังของเกมชักรู้สึกเซ็งกับเนื้อเรื่อง (ขออนุญาตไม่ Spoiled) ก็เลยพักไว้ก่อน
ข้อดี : เป็นเกม JRPG ที่สมบูรณ์แบบมากๆ
ข้อเสีย : เนื้อเรื่องช่วงครึ่งหลังทำเอาเซ็งจนขี้เกียจเล่นต่อ

Donkey Kong Country Returns 3D



เกมนี้ได้ Redeem มาฟรีจาก eShop ครับ ก็เป็นเกมสไตล์คล้ายๆ Mario ที่ผมแพ้ทางอีกเช่นเคย ก็เลยต้องเก็บไว้ก่อน T_T
ข้อดี : ภาพสวย เกมเพลย์เข้าใจง่าย
ข้อเสีย : มันยากไปสำหรับผมอีกแล้ว

Tomodachi Life



เกมที่โด่งดังและขายดีมากในเวอร์ชั่น JP เรารับบทเป็นผู้ดูแลหอพักที่มีแต่พวกตัวละครที่เราสร้างเอง แต่ละตัวก็มีนิสัยแตกต่างกัน และก็จะมีคำร้องขอความช่วยเหลือมาเรื่อยๆ เป็นเกมที่เล่นได้เพลินๆ ยาวๆ ไม่มีตอนจบครับ เกมนี้จะเอามาเล่นบ่อยๆ เล่นทีนึงก็ 2-3 ชม.
ข้อดี : รูปแบบเกมที่สบายๆ แต่มีอะไรให้ทำเยอะ เล่นแล้วไม่เครียด
ข้อเสีย : ยังหาไม่เจอ

Disney Magical World



เกมแนว Animal Crossing ผสม Action RPG ที่มี Theme เป็น Disney เกมนี้ผมตัดสินใจซื้อเพราะความฝันในวัยเด็กล้วนๆ เลยครับ ตัวละครของเราต้องทำอะไรเยอะแยะไปหมดทั้งปลูกผัก, เปิดร้านอาหาร, สร้างของ, ทำชุด แถมยังต้องไปทำเควสอีก เล่นกันได้อีกยาวนานเลยครับ
ข้อดี : เกมเพลย์หลากหลายมาก แถมโลกของ Disney ก็โดนใจเด็กหนวดอย่างผมอยู่แล้ว :)
ข้อเสีย : ยังหาไม่เจอ

One Piece: Unlimited World R



เกมจาก One Piece ที่มีเนื้อเรื่องใหม่เฉพาะในเกมนี้เลย แนวการเล่นคล้ายๆ เกมข้างบนแต่จะเน้น Action มากกว่า เราจะเก็บเลเวลไปด้วยระหว่างที่ผ่านเนื้อเรื่อง ส่วนเวลาว่างก็ต้องมาสร้างเมือง อัพเกรดร้านค้า ปลูกผักนิดหน่อย แล้วก็รับเควสจากชาวบ้านอะไรทำนองนี้ เป็นเกมที่เล่นสนุกดีครับแต่ผมเก็บเอาไว้ก่อนเพราะยังอ่าน One Piece ไม่ถึงตอนล่าสุด บางตัวละครโผล่มานี่ไม่เคยเห็นเลยยังงงๆ ไปบ้าง เลยกะว่าให้อ่านการ์ตูนมาทันก่อนแล้วค่อยเอามาเล่นต่อ
ข้อดี : เกมเพลย์สนุก มีอะไรให้ทำเรื่อยๆ ฉาก Action ในเกมก็เจ๋งดี
ข้อเสีย : ตัวหนังสือในเกมเล็กอ่านยาก ไอเท็มก็ไม่ค่อยมีคำอธิบายว่าหาจากไหนหน้าตาเป็นไง

Fantasy Life



เกมนี้ดูดเวลาผมไปกว่า 20 ชม.แล้ว ผมยังเล่นไปได้ไม่ถึง 50% ของเนื้อเรื่องเลยครับ เป็นเกมแนวคล้ายๆ 2 เกมด้านบนแต่ว่า Open กว่ามาก เนื้อหาเหมือนกับจำลองเราไปใช้ชีวิตอยู่ในโลกของ RPG ที่คุ้นเคยกันทั่วไป ตัวละครนึงเปลี่ยนอาชีพได้ 12 อาชีพ มีทั้งแนวบู๊, แนวหาของ และแนวคราฟต์ของ เล่นสลับไปมาบางทีก็งงๆ นะแต่ก็ถือว่ามันมีอะไรให้ทำเยอะมากเหลือเกิน ทั้งเควสหลักของเนื้อเรื่องและเควสชาวบ้าน เอาเป็นว่าเกมนี้คุ้มราคาสุดยอดแล้วครับเมื่อเทียบกับเวลาในการเล่น
ข้อดี : มีอะไรให้ทำหลากหลายมากๆ ฉากต่อสู้ในเกมก็ทำมาเข้าใจง่ายดี นึกถึงเกมอย่าง Ragnarok สมัยก่อน แถมความยาวเกมนี่มหาศาล เล่นกันเป็นร้อยชั่วโมงน่าจะอยู่
ข้อเสีย : บทสนทนาบางทีก็เยอะไปจนน่ารำคาญ เควสในเนื้อเรื่องหลักก็ไม่ค่อยมีอะไรเลยนอกจากคุยๆๆๆ แถม NPC บางตัวดันใช้ภาษา Slang อ่านไม่รู้เรื่องอีก