หน้าเว็บ

21 มิถุนายน 2557

193 | ร้านกาแฟ?

ร้านกาแฟมีอะไรดี?
- มีกาแฟขาย
- มีเน็ตให้เล่น
- มีแอร์
- มีคนแจ่มๆ

ทำไมต้องมาร้านกาแฟ?
- มากินกาแฟ
- มาเล่นเน็ต
- มาตากแอร์
- มาดูคนแจ่มๆ

ทำไมกาแฟในร้านกาแฟต้องแพง?
- กาแฟมันแพงเอง
- บวกค่าเน็ต
- บวกค่าแอร์
- บวกค่าคนแจ่มๆ (?)

ทำไมต้องมานั่งทำงานในร้านกาแฟ?
- ได้กินกาแฟ
- ได้ใช้เน็ต
- ได้ตากแอร์
- ได้โชว์คนแจ่มๆ

...ตูกำลังเขียนอะไรอยู่? 55555555+

19 มิถุนายน 2557

192 | True Love - Coldplay (Ghost Stories)




ในอัลบั้มใหม่ของ Coldplay ที่มีชื่ออัลบั้มและปกที่โคตรจะเท่ว่า "Ghost Stories" ผมกลับรู้สึกเฉยๆ กับเพลงโปรโมทอย่าง Magic และ A Sky Full of Stars มาก โดยเฉพาะ Midnight นี่ยิ่งแล้วใหญ่เลย (ฟังตอนขับรถอาจมีตาปรือ แถมมีสำเนียงหากินที่มักจะได้ยินในหลายๆ เพลงของ Coldplay อีก) แต่เพลงที่ติดหูผมตั้งแต่แรกเลยก็คือ Always in my Head ครับ (Track 1) คือเพลงมันเท่มากกกกกกกกก เท่แบบนี้แหละที่อยากฟังมานาน แต่พอฟังมาเรื่อยๆ ก็เจอเพลงที่ทำให้ผมชะงักครับ

True Love (Track 4)

คือตอนฟังก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก แต่อาศัยสัมผัสจากอารมณ์ของดนตรีกับเสียงร้องของ Chris Martin แล้วก็ทำให้รู้สึกว่าเพลงมันน่าจะหวานนะ เหมือนบอกรักกันอะ รักแท้ๆ อะไรประมาณนี้นะจ๊ะ บลาๆๆๆ

แต่จริงๆ ก็มาคิดว่าเสียงของ Martin นี่เชื่อไม่ค่อยได้เท่าไร บางเพลงเนื้อหาเศร้าดันร้องซะรื่นเริง บางเพลงเนื้อหาบวกแต่แกร้องให้เรารู้สึกลบก็มี ด้วยความข้องใจเลยลองหา Lyric มาดู ปรากฏว่า....น้ำตาร่วงเลย

For a second, I was in control
I had it once, I lost it though
And all along the fire below would rise

And I wish you could have let me know
What's really going on below
I've lost you now, you let me go
But one last time

Tell me you love me
If you don't then lie
Lie to me

Remember once upon a time
When I was yours and you were blind
The fire would sparkle in your eyes
And mine

So tell me you love me
And if you don't then lie
Lie to me

Just tell me you love me
If you don't then lie
Lie to me
If you don't then lie
Lie to me

And call it true
Call it true love
Call it true
Call it true love


แม่เจ้า....





ป.ล.เพลงที่เหลือก็ชอบนะ รู้สึกว่าชอบ Coldplay อัลบั้มนี้ที่สุดละ ในขณะที่อัลบั้มใหม่ของ Linkin Park (The Hunting Party) ที่เพิ่งออกมาใกล้ๆ กันนี่...เซ็งมาก

07 มิถุนายน 2557

191 | My Macbook Pro !!! (Cont.)

ตอนที่แล้ว : 190 | My Macbook Pro !!!

เขียนต่อกันเลยครับ ขณะนี้เวลา 9.11 น.ปรินท์งานที่จะให้อาจารย์ดูบ่ายนี้เรียบร้อยแล้ว จะนอนตอนนี้ก็กลัวไม่ตื่นเลยต้องหาอะไรทำรอเวลาไปก่อนครับ (แต่คงไม่ใช่งานเพราะสมองไม่ไปแล้วจ้า)

มาเล่าถึงประสบการณ์ใช้งาน Macbook Pro กันต่อครับ ขออนุญาตแบ่งเป็นส่วนๆ เพื่อความเข้าใจง่ายและกันคนเขียนมึน (เพราะความง่วง)

Hardware

เคยอ่านจากเว็บไหนจำไม่ได้ละเขาบอกว่า ทุกคนที่ซื้อ Macbook จะมีความประทับใจแรกเมื่อตอนแกะกล่องก็คือ "กลิ่น" ครับ เห็นว่าเป็นกลิ่นของโลหะ กลิ่นของใหม่ กลิ่นกล่อง กลิ่นพลาสติกและอะไรอื่นๆ ในกล่องรวมกัน เป็นกลิ่นที่ประทับใจสุดๆ ซึ่งผม "พลาด" ครับ พนักงานมันแกะกล่องให้ในร้าน ดมไม่ทัน ก็เลยไม่รู้ว่าไอ้กลิ่นที่ว่ามันเป็นยังไง

สัมผัสต่อมาคือ "ไฟดูด" ครับ ตัวเครื่องมันโลหะเกือบหมดเลย เท้าเปล่าแตะพื้นจับยังไงก็ดูด เวลาใช้งานนี่ต้องระวังพอสมควรครับ ดูดบ่อยๆ ก็ใช่จะดี

แต่สิ่งที่ประทับใจมากคือ ความเป็นโลหะของเครื่องครับ มันดูแข็งแรงทนทานมาก มีเหลี่ยมมีมุมที่คมๆ แต่ก็ทำให้รู้สึกถึงความแกร่งของมัน ส่วนจอนี่ก็สวยงามภาพชัดสมคำร่ำลือครับ (ถึงจะไม่ใช่ Retina Display ก็เหอะ) อีกจุดที่พอใจมากๆ คือแป้นพิมพ์ครับ มันให้สัมผัสที่พอดีมากๆ ไม่แข็งไม่ยวบเกินไป พิมพ์แล้วสบายนิ้ว แถมมีไฟด้วยนะ (จริงๆ ยี่ห้ออื่นก็มีแต่ผมยังไม่เคยใช้)

ส่วนพวกสายไฟนี่เฉยๆ ครับ เหมือนสายชาร์ตของ iPhone, iPad แปลกตรงที่ Adapter มันไม่ใหญ่มากเท่าไร พกพาง่ายดีครับ

Port ที่ให้มาของรุ่นนี้ก็มี ช่อง LAN 1 ช่อง, Thunderbolt 1 ช่อง, Firewire 1 ช่อง (ยังไม่รู้จะเอาไปเสียบกับอะไร), SDXC สำหรับเสียบการ์ดจากกล้อง 1 ช่อง (ผมไม่มีกล้องอันนี้เลยเฉยๆ) แล้วก็ USB 3 ให้มา 2 ช่อง อันนี้แอบดีใจเพราะตอนซื้อไม่ได้ดูสเปคก็เลยคิดว่าคงเป็น USB 2.0 แต่พอรู้ว่าเป็น 3 ก็พอใจมาก นอกจากนี้ก็เป็นช่องเสียบสายชาร์ตที่ทำเป็นแม่เหล็ก (Surface เอาไปทำมั่งแต่เสียบยากกว่ามาก) แล้วก็ DVD Drive (รุ่น Retina Display ไม่มีแล้วนะ)

ส่วนแบตที่เคลมว่าอยู่ได้ 7 ชม.นั่นเอาจริงๆ ไม่ถึงหรอกครับ (ในเว็บ Apple บอกว่า 7 ชม.นี่คือเล่นเน็ตผ่าน Wireless สถานเดียวเท่านั้น) แต่ใช้งานทั่วไปเช่นทำงานไปเปิดเพลงไปก็ประมาณ 4 ชม.กว่าครับ ถ้าไม่เปิดเพลง + ปิดไฟ Keyboard + ลด Brightness หน้าจอนี่ดึงไปถึง 6 ชม.ได้อยู่ ส่วนตอนที่สลับมาใช้ Windows 8.1 Pro นี่ 6 ชม.กว่าสบายๆ เลยครับ (Windows 8.1 ขึ้นชื่อเรื่องประหยัดพลังงานอยู่แล้ว)

ไอ้ที่ฮาคือมันมีปุ่มให้กดดูปริมาณไฟในแบตด้วยครับ (เหมือนพวกแบตสำรองมือถือ) อันนี้ชอบสุดๆ แบบว่ามันสะดวกมาก กดดูได้ทั้งตอนเปิดหรือปิดเครื่องเลย เป็นอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่เยี่ยมจริงๆ


Keyboard มีไฟที่ผมตื่นเต้นมาก

Software

อันนี้ถือว่าเปิดโลกทัศน์เลยครับ คือไม่คิดมาก่อนว่า OS บนคอมพิวเตอร์มันจะมีอะไรที่ใช้ง่ายขนาดนี้ ง่ายเกินไปจนน่าตกใจว่าที่ผ่านมากูมัวใช้อะไรอยู่

ใช้ง่ายกรณีนี้คือไม่เกี่ยวกับพวกปุ่มหรือ Function ที่ไม่เหมือนกับ Windows นะครับ อันนั้นถือว่าเป็นความคุ้นเคยมากกว่า แต่ง่ายในที่นี้คือ การ Config อะไรๆ มันดูเล็กน้อยไปหมด หลายๆ ส่วนมีวิดีโออธิบายอีกนะ ประมาณว่าถ้าอ่านไม่รู้เรื่องก็ดูภาพเอา เอาง่ายๆ แค่ System Preferences (เทียบกับ Windows ก็คือส่วนของ Control Panel) มันมีอะไรให้ปรับไม่เยอะมากนัก แถมแต่ละอันก็มีรายละเอียดน้อยนิดแต่กลับตอบโจทย์ผู้ใช้ได้ค่อนข้างครอบคลุม อันนี้อาจจะขัดใจนักปรับแต่ง Windows อยู่บ้างแต่ถ้ามองถึงความสะดวกแล้วมันสะดวกจริงๆ ครับ


System Preferences ทั้งหมดมีแค่เนี้ย
(แถวล่างสุดน่าจะเป็นพวก Setting ของ Plug In ที่เราลงเพิ่มครับ)

ซอฟต์แวร์ที่มีมาให้พร้อมเครื่องก็ถือว่ารองรับการทำงานได้ครอบคลุมครับ มีโปรแกรมตระกูล iWork มาให้ (Pages, Numbers, Keynote) ดูหนังฟังเพลงก็ iTunes จัดการรูปภาพก็ iPhoto เล่นเว็บก็ Safari ส่วน File Explorer ในนี้มันชื่อว่า Finder ครับ หาได้ทุกอย่างจริงๆ

นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมเฉพาะทางที่ลงมาให้แล้วอีกอย่าง Garageband (ต่างกับใน iPad ลิบลับเลยครับ), iMovie (อันนี้ยังไม่ได้ลอง) นอกนั้นก็โปรแกรมทั่วไปที่คุ้นเคยกันใน iOS อย่างพวก Mail, Calendar, Reminder, Maps, Game Center อ้อมี Facetime ด้วย ที่สำคัญมี iCloud ด้วยนะครับ อะไรๆ ที่เก็บไว้บน iOS มันก็จะมาอยู่บน Mac OS X ได้อย่างง่ายดายสุดๆ ครับ


หน้าจอ Launchpad ดูโปรแกรมต่างๆ ที่ลงไว้ในเครื่องเรา หน้าตาราวกับ iOS


หน้า Desktop ของ Mac OS X Maverick

พวกโปรแกรมอื่นๆ ที่จะลงเพิ่ม ก็สามารถหาได้จาก Mac App Store ครับ (ส่วนใหญ่เสียตังค์แถมแพงอีก) หรือจะหาโหลดจากตามเว็บก็ได้ครับ ซึ่งส่วนใหญ่สมัยนี้จะทำมาเป็นไฟล์ dmg คือลักษณะเหมือน Image File เวลาเปิดมันก็จะ Mount File นั้น แล้วก็ขึ้นหน้าจอให้เราติดตั้งโปรแกรม วิธีติดตั้งก็ง่ายบัดซบครับ ไม่ต้องกด Next อะไรเลย ลากไฟล์โปรแกรม (มักจะอยู่ด้านซ้าย) มาใส่ในโฟลเดอร์ Applications ที่ตัวติดตั้งมันทำ Shortcut ไว้ให้ (มักจะอยู่ด้านขวา) แค่นั้นเอง จบ O_O

แล้วพอไปดูในโฟลเดอร์ Applications ที่รวมโปรแกรมที่ลงไว้ (เหมือนโฟลเดอร์ Program Files ของ Windows) ก็อึ้งครับ คือโปรแกรมนึงก็ไฟล์นามสกุล .app ตัวนึง (ในกรณีที่เป็นโปรแกรมทั่วไปที่ไม่ได้ใหญ่โตมาก) เวลา Uninstall ก็ลากไอ้ .app นั่นแหละครับลงถังขยะ (Windows เรียก Recycle Bin ในนี้เรียก Trash) แค่นั้น !!???

(แต่ถ้าจะ Uninstall แบบเกลี้ยงๆ เลยก็ใช้โปรแกรม Utilities ตัวอื่นช่วยแทนครับจะลบได้สะอาดสะอ้านกว่า)


ตัวอย่างหน้าจอ Install VLC Media Player ครับ ลากไอคอนรูปกรวยไปที่โฟลเดอร์ Applications (จริงๆ มันเป็น Shortcut) แค่นั้นเอง ง่ายไปปะวะ


ในโฟลเดอร์ Applications ครับ โปรแกรมนึงก็ไฟล์ .app ไฟล์นึง อยากลบโปรแกรมไหนก็ลากอันนั้นลงถังขยะ



เว็บโหลดโปรแกรม Freeware, Shareware แหล่งประจำของผม Filehippo.com ก็มีโปรแกรมของ Mac OS X ให้โหลด

ต่อไปนี้คือพวกโปรแกรมใช้งานที่ผมคุ้นเคยมาจาก Windows แล้วก็เพิ่งรู้ว่ามันมีเวอร์ชั่น Mac OS X ด้วยครับ และแน่นอนผมก็จัดการลงและทดสอบไปบ้างแล้ว ก็ใช้งานได้ดีไม่ต่างกันเลยครับ


VLC Media Player เอาไว้ดูหนัง จริงๆ ดูใน iTunes ก็ได้แต่ผมติดแบรนด์ VLC มากกว่า


uTorrent เอาไว้โหลดบิต


Twitter Client คล้ายๆ ใน iOS เลยครับ เล็ก ง่าย ไม่ซับซ้อน


Deezer เอาไว้ฟังเพลงออนไลน์ ตัวนี้ยัง Beta อยู่


Protege โปรแกรม Ontology Editor ตัวหากินของผม ไม่มีโปรแกรมนี้อาจเรียนไม่จบ (จริงๆ ต้องมี Eclipse อีกตัวแต่ยังโหลดไม่เสร็จ)


CCleaner โปรแกรม Utility ประเภททำความสะอาดลบไฟล์ขยะ เป็น Freeware ที่ดีมากๆ ใช้มาหลายปีแล้ว



Google Chrome แต่ผมพยายามจะเปลี่ยนมาใช้ Safari เพราะหลังๆ รู้สึก Chrome จะอลังการเกินไปจนเปลืองทรัพยากรเครื่อง


Handbrake โปรแกรมแปลงไฟล์วิดีโอที่ใช้ดีมากๆ อันนี้มีมาในเครื่องแล้วสงสัยร้านมันแอบลงมาให้


LINE มี LINE ด้วย !!! (ไปแม่งทุกระบบ) แต่ผมไม่ได้ลองเลยไม่รู้ว่าเหมือนในมือถือรึเปล่า


หน้าจอ Mac App Store ครับ คล้ายๆ ใน iOS แหละ


เกมก็มีครับ อย่างเกมฟอร์มยักษ์ที่น่าสนใจคือ Diablo III ผมกำลังโหลด Starter Edition มาลองอยู่ว่ากราฟิกมันจะพอไหวมั้ย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะโหลดเสร็จชาติไหนครับ

Cross Platforms Compatibilities

อันสุดท้ายที่อยากจะกราบทั้ง Microsoft ทั้ง Apple คือ ความเข้ากันได้ของทั้งสอง OS จากทั้งสองค่าย คือนอกจากเราจะสามารถลง Windows ผ่าน BOOTCAMP แล้ว ใน Mac OS X ยังมองเห็นพาร์ทิชันที่เป็น Windows ใน BOOTCAMP ด้วยครับ (ลักษณะคือ BOOTCAMP จะกลายเป็นพาร์ทิชันนึงที่มี Windows อยู่ข้างใน) ส่วนเวลาเราบูตเข้า Windows ก็จะเห็น BOOTCAMP (คือตัวมันเอง) เป็น Drive C:\ ส่วนพาร์ทิชันที่เป็น Mac OS X มันจะมองเป็น Drive อีกอันนึงครับ (ของผมแบ่งแค่ 2 พาร์ทิชันคือ Mac OS X กับ BOOTCAMP เพราะงั้นใน Windows จะเห็น Mac OS X เป็น Drive D:\)

ข้อดีมันคือ จะเก็บไฟล์ไว้ที่ไหนก็ได้ครับ เก็บไฟล์เอกสารไว้ใน Windows พอบูตเข้า Mac OS X ก็เปิดไฟล์ได้ หรือ Sync เพลงผ่าน iTunes ใน Mac OS X เวลาทำงานเอกสารใน Windows ก็เอาเพลงมาเปิดฟังได้ อะไรประมาณนี้ ซึ่งผมว่ามันยอดมากครับ เห็นแก่ความสะดวกของผู้ใช้จริงๆ

(แต่เรื่องที่เอาไฟล์จาก Microsoft Office กับ iWork มาเปิดข้ามกันนี่ไม่เกี่ยวนะครับ ปัญหาอมตะนี้คงไม่มีวันแก้ได้ตลอดกาล 55555+)

ถึงแก่เวลาที่ผมต้องเตรียมตัวไปส่งงานอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว เอาไว้ถ้ามีเวลาว่างๆ ได้ลองหัดใช้งานจริงๆ สักพักนึงแล้วจะมาเล่าสู่กันฟังต่อนะครับ

แต่ ณ ตอนนี้สรุปสั้นๆ ได้เลยว่า พอใจมากกกกกกกก :)


(Entry นี้และ Entry ที่แล้วเขียนแก้ง่วงระหว่างรอเวลาไปส่งงานอาจารย์หลังจากโหมงานมาหลายวันหลายคืนติด)

190 | My Macbook Pro !!!


แล้วในที่สุด อารยธรรม Apple ตัวเป้งๆ ก็มาอยู่ในชีวิตผมจนได้ครับ

เล่าเท้าความก่อน เมื่อช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ผมมีปัญหากับ Notebook ASUS เครื่องใหม่ของผมมาก (ใหม่ประมาณ 1 ปีกว่าๆ) คือมันชอบแฮงค์แบบงงๆ ช้าแบบหาสาเหตุไม่เจอ ผมก็ลองสลับ OS มาสารพัดแล้วตั้งแต่ Windows 7 32-64 Bit, Windows 8 Enterprise 32-64 Bit, Windows 8.1 Pro 32-64 Bit, Ubuntu (เวอร์ชั่นล่าสุด) ก็มีปัญหาเหมือนๆ กันหมด (Ubuntu ดูจะปัญหาน้อยสุด) ซึ่งผมก็ไม่อะไรมาก เพราะการใช้งานโดยทั่วไปช่วงนั้นคือเล่นเน็ต, ฟังเพลง, ต่อ HDMI ดูหนังผ่านทีวี, โหลดบิต อะไรทำนองนี้

มามีปัญหาอีตอนจะทำงานนี่แหละครับ งานที่ทำอยู่ช่วงนี้คือจะยุ่งๆ อยู่กับการสร้าง Ontology กับ SKOS โดยใช้ Protege และ Plug In บางตัว, ทดสอบ Query กับ Ontology ที่สร้างโดยใช้ Eclipse เขียนโปรแกรม Java เล็กๆ + Jena API แล้วก็เขียนรายงานใน Microsoft Word มีเก็บผลลง Excel บ้าง แต่งานหลักคือเขียนรายงานลง Word นี่แหละครับ ซึ่งปกติแล้วผมจะใช้ Cloud Storage เป็นหลัก (เดิมใช้ DropBox แต่พอมี Surface RT แล้วใช้ OneDrive มันสะดวกกว่าเยอะ) บางทีทำๆ งานไป เครื่องแฮงค์ บางทีพิมพ์ๆ งานอยู่ จอฟ้า (จอฟ้าของ Windows 8.1 นี่เชี่ยมาก) ไอ้ที่เจ็บปวดจัดก็คือบางทีไฟล์ล่าสุดที่เราเก็บลง Cloud ไปดันหาย ต้องไปเอาเวอร์ชั่นเก่ามาเขียนเพิ่มอีก

ผมก็พยายามหาสาเหตุ + หาทางออกที่ดีที่สุดมาตลอด ตอนแรกเดาก่อนเลยว่า OS แหงๆ ซึ่งก็ไม่น่าใช่เพราะปัญหามักจะเกิดตอนใช้ Microsoft Office ก็เลยมาเดาต่อว่าเป็นที่ Office รึเปล่า ก็ลองเปลี่ยนไปมาระหว่าง 2007 กับ 2013 ซึ่งก็ไม่ต่างกันเท่าไร ลองหาทางออกโดยเปลี่ยนไปลง Ubuntu แล้วไปใช้ LibreOffice ก็เจอปัญหาเรื่อง Font อีก (อยากให้บรรดา Conference, Journal ไทยทั้งหลายเลิกบังคับใช้ Font UPC ซักที) ลองไปใช้ Office 365 ผ่านเว็บก็นะ...ช้ามากๆ แถมไฟล์ที่อยู่ใน OneDrive ต้อง Convert ก่อนถึงจะแก้ไขงานได้อีก (ช่างเป็นระบบที่ฉลาดมาก นี่ไฟล์เอกสารตูสร้างจาก Microsoft Office ของบริษัทมึงเองเลยนะ)

จนมาเจอช่วงพีคเมื่ออาจารย์ที่ปรึกษาให้เขียนโครงร่างวิทยานิพนธ์ส่งเพื่อดูโอกาสขึ้นสอบช่วงเดือนหน้า แม่งเหมือนรู้เลยครับว่างานเร่ง เครื่องแฮงค์ทุก 10-20 นาที พิมพ์ไปเป็นครึ่งหน้าหายไปแบบงงๆ จอฟ้านี่ขึ้นแล้วขึ้นอีกแบบ...เฮ้ย ใจว่ะ มึงอะไรเนี่ย (กูจะบ้า) สุดท้ายมานั่งคิดว่าไม่ไหวแล้วว่ะ ขึ้นเป็นแบบนี้ต่อไปงานเสร็จไม่ทันส่งแน่ ทางออกที่พอนึกออกมีดังนี้ครับ

- เอาเครื่องไปซ่อม คือสันนิษฐานว่าเป็นที่ Hardware แหงๆ ละ แต่จะเอาไปซ่อมตอนนี้แล้วมันจะเสร็จเมื่อไร ปัญหาคือยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเสียที่อะไร ถ้าเสียที่ HDD ก็โอเค ซื้อตัวใหม่มาเปลี่ยนจบ แต่ถ้าแม่งเสียที่บอร์ดละ หนังยาวเลยนะคราวนี้ 1 เดือนเป็นอย่างช้าแหง
- ไปใช้เครื่องอื่นทำงาน...เครื่องใครละ เครื่องที่ห้อง ป.เอกมีอยู่แต่จมฝุ่นมาเกือบ 2 ปีละแถมเป็น PC ตูต้องลากสังขาร (ที่ยังไม่ปกติดี) ไปทำงานที่คณะทุกวันก็คงไม่ไหว จะยืมเครื่องชาวบ้านใช้ก็นะ เครื่องคอมไม่ใช่จานชามช้อนส้อม จะเอาคอมจากที่บ้านมาใช้แล้วพ่อกับแม่จะใช้อะไรอีก จะยก PC ที่บ้านที่มีอยู่อีกเครื่อง ไอ้นั่นก็ 3-4 ปีละ ผีเข้าผีออกเหมือนกัน (แต่ยังไม่มีเวลาซ่อม)

โทรไปปรึกษาแม่ครับ แม่ให้ทางออกแบบสุดตะลึงคือ ซื้อคอมใหม่เลย (โอ้วววนี่บ้านเราเศรษฐีตั้งแต่เมื่อไร) เหตุผลที่จำยอมคือมันรีบครับ ถ้าไม่ใช่ช่วงปั่นงานผมก็ไม่อะไรๆ หรอก แต่ ณ วินาทีนี้เวลาโคตรจะสำคัญ แม่บอกว่ามันจำเป็นก็ต้องซื้อ เครื่อง (เฮงซวย) นั่นเดี๋ยวเสร็จช่วงเร่งงานแล้วค่อยไปซ่อม

โอเคสรุปว่าได้เสียตังค์กันอีกแล้ว คราวนี้ก็ถึงผู้ใช้อย่างผมต้องตัดสินใจละว่าจะซื้อเครื่องยี่ห้อไหน รุ่นอะไร ราคาเท่าไร ผมตอบแบบไม่คิดเลยครับคราวนี้

Macbook Pro เท่านั้น !!!

คือตอนที่ Notebook ACER ที่ใช้มาตั้งแต่สมัย ป.โท ตัวที่หอบหิ้วมาจากนครสวรรค์มันมีปัญหาชาร์ตไฟไม่เข้านั่นประมาณปี 55 ผมก็ขอซื้อ Notebook เครื่องใหม่ (ก็คือไอ้ ASUS ที่มีปัญหานี่แหละ) ตอนนั้นคิดแบบห้าวๆ ว่าอยากได้เครื่อง Mac เลยบอกแม่ไป แม่ก็อนุมัตินะแต่คิดไปคิดมาผมเกิดเสียดายเงินขึ้นมา เพราะราคาตอนนั้นมันเกือบ 40,000 ถ้าเราเลิกห้าวแล้วไปซื้อ Notebook ธรรมดาอย่างที่เคยใช้ก็อาจจะสัก 19,000 ประหยัดไปครึ่งนึงเห็นๆ เลยตัดสินใจเอา ASUS ตัวนี้มาเพราะเชื่อใจแบรนด์นี้มาก (ASUS ตัวแรกที่ใช้ซื้อตอนทำโปรเจคจบ ป.ตรี ประมาณปี 49 มาหมดแรงล้าเพราะสเปคไปต่อไม่ไหวตอนเรียน ป.โทช่วงปี 52 แล้วแม่ก็ใช้ดูหุ้นเล่นเน็ตที่บ้านมาอีกจนปี 55 ปลดระวางเอา ACER ผมไปซ่อมแล้วมาใช้แทน จริงๆ ทุกวันนี้มันก็ยังไม่พังแค่แบตเสื่อมไปตามเวลา) 

แล้วไอ้แบรนด์ที่เชื่อใจแม่งก็ทำกันซะจนได้


ASUS เจ้าปัญหา ทุกวันนี้ก็ยังทำใจเปิดเครื่องย้ายข้อมูลไม่ได้ กลัวแฮงค์แล้วจะปรี๊ดแตกอีก

ต่อมาก็ได้มีโอกาสไปลองเล่น Macbook Pro จากที่ iStudio, iBeat รวมถึงเล่นของชาวบ้านมาหลายครั้ง ทั้งของพี่ชัย (ป.เอก IT) กับเมษา (ป.โท IT) โดยเฉพาะไอ้เมษาที่โฆษณาชวนเชื่อแบบสุดๆ หลายครั้ง (เอาจน อ.ต้องเสียเงินซื้อ Macbook Air มาแล้ว) จนเริ่มรู้สึกคุ้นเคยกับระบบของมันบ้างละ (คือมันเหมือน Ubuntu มากๆ แต่เอาจริงๆ แล้วต้องบอกว่า Ubuntu ไปเหมือน Mac OS X ถึงจะถูก) พอคราวนี้ถึงเวลาเปลี่ยนเครื่องอีกครั้ง ผมเลยตัดสินใจแบบไม่คิดเลยครับ เหตุผลของการเลือก Macbook Pro ของผมมีดังนี้คือ

- ความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับราคา คือตอนซื้อราคามันแพงจนน่าตกใจก็จริง แต่ถ้ามันสามารถใช้ได้ไปนานๆ สัก 4 ปีอย่างต่ำนี่ก็พอคุ้มอยู่ (อาจจะเฉลี่ยปีละ 10,000 บาท) ซึ่งปกติใช้ Notebook เนี่ย 2-3 ปียังปกติดีนี่ก็สุดยอดแล้วครับ ถึงผมจะไม่ได้เล่นเกมหนักๆ แต่เวลาใช้ทำงานก็เปิดนานอยู่เหมือนกัน แถมมักจะหอบหิ้วไปนู่นนี่อยู่บ่อยๆ ด้วย Notebook ปกตินี่ก็ต้องมีงอแงบ้างละ
- ความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับอายุการใช้งาน ตัวเครื่องโลหะแบบ Macbook Pro นี่ดูยังไงก็ทนกว่า Notebook ปกติอยู่แล้วครับ อีกอย่างในแง่ OS ที่รองรับนี่ก็ดูเหมือนจะนานใช้ได้อยู่ (เพิ่งเห็นว่า Yosemite ที่กำลังจะออกนี่รองรับไปถึงรุ่น 2009 โน่น) ยังไงก็คงมี OS ใหม่ๆ ให้ใช้ได้อีกนานครับ
- ความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับความหลากหลาย คือตอนนี้เอามาลง Windows ผ่าน BOOTCAMP ก็โอเคแล้วนะ ยังไม่นับโปรแกรมทั่วไปที่อยู่บน Mac OS X อีกที่ตอนแรกนึกว่าน้อย (สมัยก่อนคงน้อย) แต่จริงๆ แล้วมันเยอะ แล้วมันเป็นโปรแกรมที่เราใช้อยู่บน Windows เป็นประจำซะด้วยสิ

ผมตัดสินใจแบบชัดเจนประมาณนี้แล้ว ต่อไปก็เลือกรุ่นละครับ

Macbook Air นี่ตัดไปได้เลย เพราะมันบอบบางไปสำหรับผม แถม Storage น้อยเหลือทน (ถึงจะเร็วเพราะเป็น SSD ก็เหอะ) พอมาดู Macbook Pro ตัวล่าสุด สิ่งแรกที่ผงะคือราคาครับ...เกินงบมาไม่ใช่น้อย แถมพอไปดูตัวจริงแล้วแบบว่าเฮ่ย Apple คิดถูกแล้วเหรอ ดูมันทับไลน์ Macbook Air ยังไงชอบกล นับตั้งแต่น้ำหนักที่เบาลงแต่อัพเกรดอะไรไม่ได้เลย Storage เปลี่ยนมาใช้ SSD แล้วความจุน้อยลงมาก แล้วไอ้จอ Retina Display นี่มันก็...ดีนะ แต่ไม่ค่อยสำคัญไม่ใช่เหรอ

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมซื้อคอมพิวเตอร์แบบ "ไม่เอาเทคโนโลยีล่าสุด" ครับ เหตุผลคล้ายๆ ตอนซื้อ iPhone 5 แหละครับคือ สู้ราคาไหวแค่นี้ อีกอย่างคือคิดว่ารุ่นใหม่ๆ ที่อาจจะออกมาต่อจากนี้คงไม่ตอบโจทย์เราอีกแล้ว คือคอมพิวเตอร์มันควรจะแยกส่วนครับ มันควรจะอัพเกรดได้ ไม่ใช่เน้นเบาเน้นหรูแต่จบแค่นั้น ถ้าสมมุติว่าซื้อ Macbook Pro Retina Display มาแล้ว Storage ไม่พอละ? ใช้ Ext HDD เหรอ ไม่ใช่เรื่องแล้วมั้ง (คหสต.นะ) สุดท้ายตัดสินใจได้ชัดเจนเพราะเหลือให้เลือกอยู่รุ่นเดียว ก็ตรงดิ่งไป iStudio ที่เซ็นทรัล ณ บัดเดี๋ยวนั้นเลยครับ (อย่าลืมว่าผมกำลังปั่นงาน ช่วงเวลาตัดสินใจจนถึงตอนออกไปซื้อใช้เวลาเพียงประมาณ 1 ชม.)


รุ่นนี้ครับ (Capture จากเว็บ Apple Store TH)

ดูจากสเปคแล้วก็ไม่ได้ขี้เหร่ครับ CPU ความเร็วเท่านี้มันเกินพอแล้ว RAM 4GB เท่าเครื่องเก่าก็เหมาะสมกับงานเราไม่มากไม่น้อยเกินไป (รู้มาว่า Mac OS X พื้นฐานมาจาก UNIX ซึ่งค่อนข้างประหยัดทรัพยากร) HDD 500 GB ก็เท่าเครื่องเก่า ส่วนการ์ดจอ Intel นี่ไม่ซีเรียสครับเพราะใช้ On Board ของ Intel มาตลอด ยกเว้นเครื่องล่าสุดมี nvidia มาแต่ก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์เท่าไร 5555555 ส่วนแบต 7 ชั่วโมงนี่ในใจคิดว่าโม้ชิบหาย แต่ก็เคยลองดูพี่ชัยกับเมษาใช้แล้วก็โอเคถือว่านานอยู่

ตอนไปซื้อก็อย่างที่คิดไว้ครับ สินค้า Apple ราคาไหนราคานั้นทั่วราชอาณาจักร 37,900 ไม่มีลดให้สักสลึง ผมซื้อ Magic Mouse ด้วยแม้จะพอรู้มาว่า Mouse ธรรมดาก็ใช้ได้ แต่ก็ไหนๆ จะย้ายอารยธรรมแล้วก็เอาให้มันสุดๆ ไปเลยละกัน (วะ) โดนไปอีก 2,000 กว่าบาท อีกอย่างที่สำคัญคือสายแปลง Thunderbolt เป็น HDMI อันนี้สำคัญมากเพราะความบันเทิงส่วนหนึ่งในชีวิตคือการดูหนังครับ รวมๆ แล้วหมดไป 41,xxx ในพริบตา (เข่าอ่อน) ยังดีที่น้องพนักงานขายเป็นอดีตลูกศิษย์พี่โหน่งเลยคุยง่าย น้องเขาแถมฟิล์มกันรอย iPhone 5 มาให้อีก 4-5 อันค่อยยิ้มออกบ้าง


Magic Mouse ตัวแพง (ตอนหลังรู้แล้วว่าทำไมถึงแพง)


กล่อง Macbook Pro เทียบขนาดกับหนังสือการ์ตูนทั่วไปครับ

กลับมาถึงห้องก็ลง Windows 8.1 Pro + Office 2013 ผ่าน BOOTCAMP ก่อนเลยครับ แล้วก็ปั่นงานยาว มีเวลาช่วงก่อนนอนประมาณวันละ 10-20 นาทีแอบหัดใช้ Mac OS X Marverick บ้างจนพอจะคลำทางได้บ้างละ

ตอนต่อไปจะมาเล่าถึงประสบการณ์การใช้งานสั้นๆ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาครับ


(Entry นี้เขียนแก้ง่วงระหว่างรอเวลาไปส่งงานอาจารย์หลังจากโหมงานมาหลายวันหลายคืนติด)